เพลงของพ่อ – บอย โกสิยพงษ์ Feat. นภ พรชำนิ

24 มิ.ย.
 
 
 
 
                     ขอบคุณวีดีโอจาก You Tube

หวัง 3 อย่างของพ่อแม่ “พระมหากษัตริย์ยอดกตัญญู”

16 มิ.ย.

ลูก ๆ ทุกคน…ก็ได้รู้กันแล้วว่า ความหวังของแม่ ..ที่มีต่อลูก 3
หวังคือ
 

ยามแก่เฒ่า    หวังเจ้า     เฝ้ารับใช้
ยามป่วยไข้   
หวังเจ้า     เฝ้ารักษา
เมื่อถึงยาม     ต้องตาย   วายชีวา
หวัง
ลูกช่วย    ปิดตา       เมื่อสิ้นใจ

   
ทีนี้…มาดูตัวอย่างบ้าง..บุคคลที่เป็นยอดกตัญญู
ที่ประทับใจอาจารย์มากที่สุด คือใคร ทราบไหม?

คือคนในภาพนี้..ในหลวงของเรา…
ในหลวง…นอกจากจะเป็น
ยอดพระมหากษัตริย์ของโลก.. เป็น THE KING OF KINGS แล้ว
ในหลวงของเรา
ยังเป็นกษัตริย์ยอดกตัญญูด้วย
ความหวังของแม่…ทั้ง 3 หวัง
ในหลวงปฏับติได้ครบถ้วน … สมบูรณ์ เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด
ให้แก่พวกเราในหลวงทำกับแม่ยังไง ? ตามอาจารย์มา…อาจารย์จะฉาย
ภาพให้เห็น….

หวังที่ ๑.
ยามแก่เฒ่า..หวังเจ้า..เฝ้ารับใช้…

ใครเคยเห็น ภาพที่…
สมเด็จย่า เสด็จไปในที่ต่าง ๆ แล้วมีในหลวง..ประคองเดินไป ตลอดทาง…

 

    เคยเห็นไหม…? ใครเคยเห็น…กรุณายกมือให้ดูหน่อย…ขอบ
คุณ…เอามือลง

ตอนสมเด็จย่าเสด็จไปไหนเนี่ย.. มีคนเยอะแยะ…
มี
ทหาร…มีองครักษ์ …มีพยาบาล.. ที่คอยประคองสมเด็จย่าอยู่แล้ว
แต่ในหลวงบอกว่า…

"ไม่ต้อง…. " คนนี้…เป็นแม่เรา…เรา
ประคองเอง ตอนเล็ก ๆ แม่ประคองเรา ..สอนเราเดิน หัดให้เราเดิน…
เพราะฉะนั้น.. ตอนนี้แม่แก่แล้ว…เราต้องประคองแม่เดิน

เพื่อเทิด
พระคุณท่าน… ไม่ต้องอายใคร…

เป็นภาพที่…ประทับใจ มาก…
เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านกตัญญูต่อแม่.. ประคองแม่เดิน
ประชาชน
ที่มาเฝ้ารับเสด็จ … สองข้างทาง ฝั่งนี้ 5,000 คน ฝั่งนู้น…..8,000 คน
ยก
มือขึ้น…สาธุ แซ่ซ้อง..สรรเสริญ
"กษัตริย์ยอดกตัญญู…"
ในหลวง..เดินประคองแม่..
คนเห็นแล้ว …เขาประทับใจ
ถ่ายรูป…เอามาทำปฏิทิน
…เอาไปติดไว้ที่บ้าน
เพื่อแสดงความเคารพ…กราบไหว้…

ลองหันมาดูพวก
เรา…ส่วนใหญ่ เวลาออกไปไหน แต่งตัวโก้… ลูกชายแต่งตัวโก้…
ลูกสาวแต่งตัวสวย.
แต่เวลาเดิน…ไม่มีใครประคองแม่
กลัวไม่โก้…กลัวไม่สวย ข้าราชการ…แต่งเครื่องแบบเต็มยศ…
ติด
เหรียญตรา…เหรียญกล้า หาญ…เต็มหน้าอก…
แต่เวลาเดิน…ไม่กล้าประคองแม่… กลัวไม่สง่า.

..กลัวเสีย
ศักดิ์ศรี… ประคองแม่ …. เป็นเรื่องของ…คนใช้…
หลายคนให้ประคองแม่.. ไม่กล้าทำ อาย…
เวลาทำดี..ไม่กล้าทำ…อาย
เวลาทำชั่ว…กล้า….ไม่อาย…

ใครเห็น
ภาพนี้ที่ไหน…กรุณาซื้อใส่กรอบ… แล้วเอาไปแขวนไว้ที่บ้าน…

เอา
ไว้สอนลูก เห็นภาพชัดเจนไหมครับ?
เท่านั้น
…ยังน้อยไป…มาดูภาพที่ชัดเจนกว่า นั้น…
หลังงานพระบรมศพสมเด็จย่า…เสร็จสิ้นลงแล้ว
ราชเลขา..ของสมเด็จย่า…
มาแถลงในที่ประชุม…ต่อหน้าสื่อม วลชน…ว่า…
ก่อนสมเด็จย่า
จะสิ้นพระชนม์..ปีเศษ…ตอนนั้นอายุ 93 ในหลวง..เสด็จจากวังสวนจิตร..
ไปวังสระปทุมตอนเย็นทุกวัน..ไปทำไม ครับ….? ไปกินข้าวกับแม่…
ไปคุยกับแม่…

ไปทำให้แม่..ชุ่มชื่นหัวใจ…
พอเขาแถลงถึงตรง
นี้ อาจารย์ตกตะลึง.. โฮ้โห….ขนาดนี้เชียวหรือในหลวงของเรา
เสด็จไป
กินข้าวมื้อเย็น กับแม่… สัปดาห์ละกี่วัน…ทราบไหมครับ ?
พวกเราทราบไหมครับ…สัปดาห์ละกี่วัน ? 5 วัน…… มีใครบ้างครับ….?
ที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่ …สัปดาห์ละ 5 วัน

หายาก…. ในหลวง มีโครงการเป็นร้อย…เป็นพันโครงการ…
มีเวลาไปกินข้าวกับแม่..สัปดาห์ละ 5 วัน พวกเรา ซี 7 ซี 8 ซี 9
ร้อยเอก..พลตรี…อธิบดี..ปลัดกระทรวง
ไม่เคยไปกินข้าวกับ
แม่….บอกว่า…งานยุ่ง
แม่บอกว่า…ให้พาไปกินข้าวหน่อย.. บอกว่า
ไม่มีเวลา จะไปตีกอล์ฟ…
ไม่มีเวลาพาแม่ไปกินข้าว…
แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ…เห็นตัวเองหรือยัง ..?
พ่อแม่..พอแก่แล้ว
ก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง… ฝนตก…น้ำเซาะ..อีกไม่นานโค่น…
พอถึงวัน
นั้น…เราก็ไม่มีแม่ให้ กราบแล้ว…
ในหลวงจึงตัดสินพระทัย…
ไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ 5 วัน
เมื่อตอนที่สมเด็จย่าอายุ…93
สัปดาห์หนึ่งมี 7 วัน ในหลวงไปกินข้าวกับแม่ 5 วัน
อีก 2 วัน
ไปไหนครับ ….? ดร.เชาว์ ณ ศีลวันต์…องคมนตรี บอกว่า….
ในหลวง…ถือ
ศีล 8 วันพระ ถือศีล 8 นี่ยังไง. ต้องงดข้าวเย็น…
เลยไม่ได้ไปหาแม่…วันนี้เพราะ ถือศีล
อีกวันหนึ่งที่เหลือ…
อาจจะกินข้าวกับพระราชินี..กับคนใกล้ชิด แต่ 5 วัน….ให้แม่
เห็นภาพ
ชัดแล้วใช่ไหม…? ตอนนี้เราขยับเข้าไปใกล้ ๆ หน่อย
ไปดูตอนกินข้าว…
ทุกครั้ง…ที่ในหลวงไปหาสมเด็จย่า… ในหลวงต้องเข้าไปกราบ ที่ตัก…
แล้วสมเด็จย่า…ก็จะดึงตัวในหลวง… เข้ามากอด..กอดเสร็จก็หอมแก้ม…
ใคร
เคยเห็นภาพสมเด็จย่า..หอมแก้มในหลวงบ้าง…?

 

ภาพนี้…ถ้าใครมี…ต้องเอาไปใส่กรอบ
เป็น
ภาพความรักของแม่…ที่มีต่อลูก..อย่างยอดเยี่ยม

ตอนสมเด็จ
ย่า..หอมแก้มในหลวง…อาจารย์คิดว่า แก้มในหลวง…คงไม่หอมเท่าไร
..เพราะ
ไม่ได้ใส่น้ำหอม แต่ทำไม…สมเด็จย่าหอมแล้ว…ชื่นใจ…

เพราะท่านได้กลิ่นหอม… จากหัวใจในหลวง หอมกลิ่นกตัญญู
ไม่นึกเลย
ว่า…ลูกคนนี้ จะกตัญญูขนาดนี้ จะรักแม่มากขนาดนี้

ตัวแม่เองคือ
สมเด็จย่า…ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นคนธรรมดา…สามัญชน…เป็นเด็ก
หญิงสังวาลย์
เกิดหลังวัดอนงค์…เหมือนเด็กหญิงทั่วไป…
เหมือนพวกเราทุกคนในที่นี้
ในหลวงหน่ะ… เกิดมา เป็นพระองค์เจ้า
เป็นลูกเจ้าฟ้า
ปัจจุบันเป็นกษัตริย์…เป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่
เหนือหัว
แต่ในหลวง..ที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน….
ก้มลงกราบ..คนธรรมดา..ที่เป็นแม่
หัวใจลูก…ที่เคารพแม่…
กตัญญูกับแม่อย่างนี้ หาไม่ได้อีกแล้ว…
คน บางคน…พอเป็นใหญ่เป็นโต
ไม่กล้าไหว้แม่….เพราะแม่มาจากเบื้อง ต่ำ… เป็นชาวนา…

.เป็น
ลูกจ้าง… ไม่เคารพแม่….ดูถูกแม่……
แต่นี่…ในหลวง
เทิดแม่ไว้เหนือหัว…นี่แหละครับความหอม

นี่คือเหตุที่สมเด็จย่า…หอมแก้มในหลวงทุกครั้ง…
ท่านหอมความ
ดี…หอมคุณธรรม…หอมกตัญญู..ของในหลวง
หอมแก้มเสร็จแล้ว…ก็ร่วมโต๊ะเสวย…
ตอนกินข้าวนี่…ปกติ…แค่เห็น
ลูกมาเยี่ยม…ก็ชื่นใจแล้ว… นี่ลูกมากินข้าวด้วย…โอย…ยิ่งปลื้มใจ
แม่ทั้งหลาย..ลองคิดดูซิ… อะไรอร่อย ๆ ในหลวงจะตักใส่ช้อนแม่…
อัน
นี้อร่อย…แม่ลองทาน… รู้ว่าแม่ชอบทานผัก…
หยิบผักมาม้วน ๆ
ใส่ช้อนแม่… เอ้าแม่…แม่ทานซะ…ของที่แม่ชอบ
แทนที่จะกินแค่ 3 คำ
4 คำ ก็เจริญอาหาร…กินได้เยอะ
เพราะมีความสุข ที่ได้กินข้าวกับลูก
มีความสุขที่ลูกดูแล….เอาใจ ใส่…
กินข้าวเสร็จแล้ว…ก็มานั่งคุย
กับแม่… ในหลวงดำรัสกับแม่ว่าไง…ทราบไหม…? 

  ตอนในหลวงเล็ก ๆ…แม่เคยสอนอะไรที่สำคัญ… "อยากฟังแม่สอนอีก"
เป็น
ยังไงบ้าง…?
เป็น กษัตริย์…ปกครองประเทศ..อยากฟังแม่สอนอีก…
พวก
เรา เป็นยังไง…? เราคิดว่า…เรารู้มาก…เราเรียนสูง…
เรามีปริญญา…แม่จบ ป.4
เวลาแม่สอน….ตะคอกแม่ ตวาดแม่
กระทืบเท้าใส่แม่ เบื่อจากตายอยู่แล้ว…รำคาญ….
พูดจาซ้ำ
ซาก…เมื่อไหร่จะหยุดพูด ซะที… เราเหยียบย่ำ หัวใจแม่……

พอ
สมเด็จย่าสอน… ในหลวงจะเอากระดาษมาจด…
มีอยู่เรื่องหนึ่ง…ที่จำได้แม่น..
สมเด็จย่า…เล่าว่า
ตอนเรียนหนังสือที่ Swiss ในหลวงยังเล็กอยู่…เข้ามา
บอกว่า..อยากได้รถจักรยาน
เพื่อน ๆ เขามีจักรยานกัน
แม่บอกว่า…ลูกอยากได้จักรยาน…
ลูกก็เก็บสตางค์…ที่แม่ให้ไป
กินที่โรงเรียนไว้ซิ… เก็บมาหยอดกระปุก..วันละเหรียญ…สองเหรียญ

พอได้มากพอ…ก็เอาไปซื้อจักรยาน… นี่คือสิ่งที่แม่สอน…
แม่
สอนอะไร..ทราบไหมครับ…?
ถ้าเป็นพ่อแม่บางคน… พอลูกขอ…รีบกดปุ่ม
ATM ให้เลย ประเคนให้เลย..ลูกก็ ฟุ้งเฟ้อ…ฟุ่มเฟือย…
เหลิง…และ
หลงตัวเองพอโตขี้น…ขับรถเบนซ์ชนตำรวจ…ก็ได้… ยิงตำรวจ…ยังได้..

เพราะหลงตัวเอง..พ่อกูใหญ่ เห็นไหม…..? ตามใจเทิดทูน จนเสียคน…

แต่
สมเด็จย่านี่…เป็นยอดคุณแม่.. สร้างคุณธรรมให้แก่ลูก..
ลูกอยาก
ได้..ลูกต้องเก็บสตางค์ที่แม่ให้…ไปหย่อนกระปุก…
แม่สอน 2 เรื่อง
คือ…ให้ประหยัด….ให้ยืนอยู่บนขาของตัวเอง

"ความประหยัด…เป็นสมบัติของเศรษฐี"
ใครสอนลูกให้ประหยัดได้..
คนนั้นกำลังมอบความเป็นเศรษฐีให้แก่ลูก
พอถึงวันปีใหม่..สมเด็จย่า
ก็บอกว่า… "ปีใหม่แล้ว…เราไปซื้อจักรยานกัน.."
เอ้า…แคะ
กระปุก..ดูซิว่ามีเงินเท่าไร…? เสร็จแล้ว…สมเด็จย่าก็แถมให้…

ส่วนที่แถมนะ…มากกว่าเงินที่มีในกระปุกอีก… มีเมตตา…ให้เงินลูก…
ให้…ไม่
ได้ให้เปล่า…สอนลูกด้วย…สอน ให้ประหยัด
สอนว่า…อยากได้อะไร…
ต้องเริ่มจากตัวเรา… คำสอนนั้น…ติดตัวในหลวงมาจนทุกวันนี้….
เขา
บอกว่า..ในสวนจิตร เนี่ย… คนที่ประหยัดที่สุด…คือ…ในหลวง…

ประหยัดที่สุด..ทั้งน้ำ..ทั้งไฟ… เรื่องฟุ้งเฟ้อ..ฟุ่มเฟือย…ไม่ มี…
เป็น
อันว่า…ภาพนี้..ชัดเจน..   หวังที่ 2 ยามป่วยไข้ หวังเจ้า
เฝ้ารักษา…

ทราบไหมว่าในหลวงทำ กับแม่อย่างไร?
ตอนที่
สมเด็จย่าประชวรอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช
ในหลวง เสด็จไปเยี่ยมตอน ตี 1
ตี 2 ตี 4 เศษๆ จึงเสด็จกลับ
ไปเฝ้าแม่วันละหลายชั่วโมง
แม่พอเห็น
ลูกมาเยี่ยมก็หายป่วยไปครึ่ง หนึ่งแล้ว
ทีมแพทย์ ที่รักษาสมเด็จย่า
เห็นในหลวงมาเยี่ยม มาประทับก็ต้องฟิตตามไปด้วย
ต้องปรึกษาหารือกัน
ตลอดว่าจะให้ยายัง ไงจะเปลี่ยนยาไหม จะปรับปรุงการรักษายังไงให้ดีขึ้น

กลางคืนในหลวงไปอยู่กับสมเด็จย่าคืนละหลายชั่วโมง
ไปให้ความอบอุ่น
ทุกคืน

คราวหนึ่ง ในหลวงทรงประชวร
สมเด็จย่าก็ป่วยอยู่คนละมุมตึกโรงพยาบาลศิริราช
ตอนเช้า
ในหลวงเปิดประตูออกมา เห็นพยาบาลกำลังเข็นรถสมเด็จย่าออกมารับลมผ่าน
หน้าห้องพอดี
ในหลวงพอเห็นแม่ ก็รีบออกจากห้องมาแย่งพยาบาลเข็นรถ

มหาดเล็กกราบทูลว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องเข็น มีพยาบาลเข็นให้อยู่แล้ว
ในหลวง
มีรับสั่งว่า แม่ของเรา ทำไมต้องให้คนอื่นเข็น เราเข็นเองได้

หวังที่ 3 เมื่อถึงยามต้องตายวายชีวา
หวังลูกช่วยปิดตาเมื่อสิ้นใจ

วันนั้น ในหลวงเฝ้าสมเด็จย่า
อยู่จนถึงตี 4 ตี 5 เฝ้าแม่อยู่ทั้งคืน
จับมือแม่ กอดแม่ ปรนนิบัติแม่
จนกระทั่ง“แม่หลับ…” จึงเสด็จกลับ…

พอถึงวันเขาโทรศัพท์แจ้งว่าสมเด็จย่าสิ้นพระชนม์
ในหลวงรีบเสด็จ
กลับไปศิริราช เห็นสมเด็จย่านอนหลับตาอยู่บนเตียง
ในหลวงทำยังไง
ทราบไหมครับ?
ในหลวงตรงเข้าไปคุกเข่า กราบลงที่หน้าอกแม่
พระพักตร์
ในหลวงตรงกับหัวใจแม่
“ขอหอมหัวใจแม่เป็นครั้งสุดท้าย”

ซบพระพักตร์นิ่ง..อยู่นาน
แล้วค่อยๆ เงยพระพักตร์ขึ้น
น้ำพระเนตรไหลนอง…

ต่อไปนี้ จะไม่มีแม่ให้หอมอีกแล้ว เอาพระหัตถ์กุมมือแม่ไว้
มือ
นิ่มๆที่ไกวเปลนี้แหละ ที่ปั้นลูกจนได้เป็นกษัตริย์
เป็นที่รักของคน
ทั้งบ้านทั้งเมือง

มองเห็นหวีปักอยู่ที่ผมแม่ ในหลวงจับหวีค่อยๆหวีผมให้แม่…
หวี…หวี..
หวี….. หวี..ให้แม่สวยที่สุด แต่งตัวให้แม่..
ให้สวยที่สุด… ในวันสุดท้ายของแม่…

 

คัดลอกมาจาก หนังสือ เรื่อง หยุดความชั่วที่ไล่ล่าตัวคุณ

ของ พ.อ.(พิเศษ) ทองคำ

ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เนต

คำต่อคำ”ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล” พสกนิกรไทยชาวไทยต้องอ่าน !

2 เม.ย.

คำต่อคำ อำมาตย์ ชื่อ "ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล" เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา บันทึกไว้ใน แผ่นดิน…ตามเส้นทางเสด็จฯ ทุกคำ ทุกบรรทัด จากนี้ไป พสกนิกรไทยชาวไทยไม่อาจไม่อ่าน !!

 

"ดร.สุเมธ" เล่าเรื่อง อาการพระประชวร

"พระองค์ท่าน พระชนมพรรษาตั้ง 80 พรรษากว่าแล้ว การที่ทร งพระประชวรก็เป็นเรื่องธรรมดา อีกทั้งพระวรกายของพระองค์ท่านก็ผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก ทรงเสด็จฯ เยี่ยมเยียนพสกนิกร อย่างมากมาย ผมได้มีโอกาสตามเสด็จมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2524 กว่าๆ เป็นต้นมา เห็นว่าพระองค์ท่านทรงงานเกินก ว่าภาวะร่างกายมนุษย์จะพึงแบกรับได้ พระวรกาย ของพระองค์ท่านก็ต้องสึกหรอเป็นธรรมดา"

"อย่างไรก็ ตาม ในขณะที่พระองค์ท่านทรงมีพระวรกายแข็งแรง ทรงมองปัญหา วางแผนการแก้ปัญหา ไว้เรียบร้อยแล้ว ทรงตั้งองค์กรที่จะรับงาน ไปดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่น มูลนิธิโครงการหลวง มูลนิธิชัยพัฒนา และโครงการพระราชดำริ และมูลนิธิ ราชประชานุเคราะห์"

ทำให้มีองค์กรที่สามา รถทำให้งานเดินหน้าต่อไปได้ แม้ว่าระยะหลังพระองค์ท่านจะไม่ได้เสด็จออก แต่งานทั้งหลายก็ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่ มีกระแสรับสั่งผ่านสมเด็จพระเทพฯ ที่ทรงเข้า เฝ้าฯ บ่อยมากๆ และทรงรับ พระราชกระแสรับสั่งมา ทำให้ในแง่งานไม่ได้หยุดลง เลย

"ทรงงาน ตลอดเวลา…แม้ประทับอยู่โรงพยาบาล"

แม้ว่าในขณะนี้ พระองค์ จะประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช สมเด็จพระ เทพฯ ก็ยังทรงเข้าเฝ้าฯ และ กราบทูลฯ ถวายรายงาน บาง งานพระองค์ท่านก็มีรับสั่งเพิ่มเติม ในฐานะ พระองค์ท่านทรงเป็นประธานกิตติมศักดิ์ สถาบัน น ้ำ ท่านก็รับสั่งให้ข้อมูลตลอดเวลา ในโลกที่เทคโนโลยีสารสนเทศก้าวหน้า การสั่งราชการสมัยใหม่ สั่งงานที่ไหนก็ ได้ และรูปแบบการถวายรายงานก็มีหลายช่องทาง ไม่จำเป็นต้องเสด็จฯ ให้เหนื่อย ยากเหมือนสมัยก่อน และงานทุกอย่างพระองค์ท่านทรง หลับตาก็เห็นหมด

มีอยู่ ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงโทรศัพท์สายตรงมาถึง ตอน นั้นก็ประมาณตีสอง ตีสาม ก็ เคย แสดงให้เห็นว่าท่านทรงงานตลอดเวลา แต่ส่วนมากท่านจะทรงมีกระแสรับสั่งผ่านสมเด็จพระเทพฯ

ตัวอย่างคำ แนะนำของในหลวง ตอนนั้นมีเรื่องการตั้งโครงการ เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงของหน่วยงานอื่น พระองค์ ท่านทรงเห็นว่าไม่ควรดำเนินการ แต่ได้ทรง อธิบายว่าทำไมพระองค์ไม่เห็นด้วย ผมก็แจ้งให้ หน่วยงานนั้นยุติเสีย

"ทรง งานอย่างละเอียด…รอบคอบทุกพิกัด"

ท่านมีพระกระแสรับสั่งงานได้เฉพาะเจาะจง บางครั้งงานที่เราถวายรายงานก็ทรงทราบรายละเอียด มากกว่าเราที่อยู่ใน พื้นที่ มีอยู่ครั้ง หนึ่งพระองค์จะเสด็จฯ ที่สาธารณรัฐประชาธิปไต ยประชาชนลาว เราไปนอนรออยู่ก่อนที่เวียง จันทน์ แล้วถวายรายงานเรื่องพิกัด ท่านก็มีพระกระแสรับสั่งผ่านศูนย์อำนวยการรักษาความปลอดภัย กลับมาตอนสี่ทุ่ม ทรงมีรับสั่ง ว่า "พิกัดที่ส่งไป ผิด พลาดไปประมาณ 500 เมตร" เรา ซึ่งอยู่ในพื้นที่ยังถวายรายงานได้ไม่ครบ แต่ พระองค์ท่านประทับอยู่ที่วังยังทราบได้ ทั้งๆ ที่คณะทำงานขนระบบ GPS ไปกัน เพียบ

พอรุ่ง ขึ้น…เข้าไปวัดใหม่ก็ปรากฏว่าผิดพลาดจริงๆ เมื่อ พระองค์ท่านประทับลงจากรถ ก็ทรงรับสั่งว่า "เห็นมั้ย…บอกผิด" นี่เป็นตัว อย่างว่าท่านทรงงานละเอียดมาก งานทุกแห่งท่าน ต้องทรงไปทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง

"ทรงพะวงกับงานโดยไม่คำนึงถึงพระวรกาย"

การทรงงานทุกอย่าง ท่านคิดแต่เรื่องคน อื่นตลอดเวลา ทรงเกรงใจคน ไม่ต้องการให้คนอื่นลำบาก บางคราวเสด็จ ออกโดยไม่แจ้งหมายกำหนดการล่วงหน้า ทรงทราบ ว่าจะมีคนมาคอยเฝ้าฯ จะลำบาก พวกเราก็ต้องคอยเก็งเอาว่าท่านจะเสด็จฯ ไหน เมื่อเสด็จออกถึงได้รู้กันตอนนั้น บางครั้งก็เก็งถูก บางครั้งก็ผิด แต่เราก็ต้องเตรียมพร้อมเสมอ มี รถนำขบวนเตรียมไว้ทั้งซ้าย-ขวา ท่านเสด็จออก ทางไหนก็พร้อม มีโอเปอเรชั่นวางไว้เลย

ครั้งที่ แล้วที่เสด็จฯ ประทับโรงพยาบาลเพราะต้องผ่าตัด อีก 5 ชั่วโมงจะเสด็จฯ ถึงโรงพยาบาลศิริราช ทรงมีรับสั่งให้ ทีมงานติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อติดตาม สถานการณ์พายุที่จะเข้าฝั่ง พระองค์ท่านทรง พะวงกับงาน โดยไม่คิดถึงพระวรกาย ไม่ใช่ว่าเมื่อทรงพระประชวรแล้วจะหยุดทรงงาน ขณะนี้ก็มีหนังสือราชการ มีการลงพระ ปรมาภิไธย มีพระบรมราชโองการตลอดเวลา

 

"ผมคิด ว่าเป็นเพราะความเกรงใจคนอื่น การประทับที่ โรงพยาบาลศิริราช ขณะนี้ทราบว่าพระอาการทั่วไป หายดีหมดแล้ว เหลือเฉพาะต้องประทับต่อเพื่อทำ กายภาพบำบัด หากท่านเสด็จฯ ออกจากโรงพยาบาล ก็เกรงใจทีมแพทย์ การประทั บโรงพยาบาลต่อเพื่อจะทำให้ทีมแพทย์มีความ สะดวก…นี่ผมเดาเอาเองนะ เพราะท่านทรงคิดถึง คนอื่นตลอดเวลา แม้จะเสด็จฯ ไปหัวหิน ก็ทรงรอให้ถึงวันเปิดเทอม เพราะจะได้มีคนน้อยๆ รถราไม่ติด ทุกเรื่องทรงคิดหมด"

ฝนตก แดดออก ทรงเสด็จออก ไม่เคยยกเลิกหมายกำหนดการ มีอยู่ปี หนึ่งน้ำท่วม ท่านเสด็จออกโดนแมลงกัดจนมีแผล ที่พระบาท ท่านก็ยังมีรับสั่งงานต่างๆ ต่อ งานทุกอย่างท่านต้องทอดพระเนตร ทุกงานพระองค์จะทรงห่วงตลอด

"พระ อารมณ์ขันและคำเตือน"

"งานผมก็เคยถวาย รายงานแล้วไม่ถูกพระทัย เพราะเราพลาด เราก็รู้ว่าเราต้องทำใหม่ มนุษย์ คนไหนไม่พลาดเลยตลอดชีวิต คนนั้นบ้าแล้ว บางคนทำผิดเท่าไร ไม่เคยเห็นความ ผิดของตัวเอง คนแบบนี้พระพุทธเจ้าสอนว่า เป็นพวกบัวใต้น้ำ พระองค์ท่านทรงดุ เพื่อไม่ให้เราผิด พลาดอีก"

พระองค์ ท่านเคยตรัสถามว่า จะอยู่ถึง 120 ปีด้วยกันมั้ย เราก็ตอบว่า ตอนนั้นข้าพระพุทธเจ้าก็คง 108 ปี…ทรง มีอารมณ์ขัน นอกจากนี้ทรงมีการเตือนพวกเรา ตลอดเวลา ว่าอย่าให้ตัวเองอ้วนเกินไป ให้มีวินัยในการประพฤติตัว ปีที่แล้ว เราอายุ 69 ปี ก็ขอพร ท่านตรัสว่า "ให้กินน้อยๆ"

"ทรงเตือนว่า เป็นนัก พัฒนาต้องแข็งแรง เพราะต้องออกเยี่ยม เยียนประชาชน อย่าตามใจปาก พออิ่มก็หยุดได้แล้ว"

"ความ ทุกข์…ของพ่อ"

"เรื่องความทุกข์ ท่าน ไม่ทุกข์ แต่ก็ธรรมดาถ้าลูกๆ ทะเลาะกัน พ่อ-แม่ก็ทุกข์…ไม่ว่าจะใส่เสื้อ สีอะไร ก็ลูกท่านทั้งนั้น ตาม วิสัยพ่อ-แม่ รู้สึก Hurt ทั้งนั้น ถ้าลูกตีกัน ฉันใดก็ฉันนั้น พระองค์ท่านก็ทรงห่วง" จะเห็นว่าเมื่อมีวิกฤติเป็นระยะๆ ท่านก็ทรงเตือนให้รักษาบ้าน รักษาเมือง ประเทศชาติเกิดอะไรก็ไปกันหมด ประเทศ ไม่สงบ ก็เดือดร้ อนกันหมด ทรงเตือนให้มีสติ เอาสติกลับมา ทะเลาะกันก็เดือดร้อนกันทั้งคู่

 

"พระประมุขแห่งแผ่นดินเห็นอย่างนี้ ก็คงกลุ้มพระทัย แต่เราก็ไม่เคย ทูลถาม แต่ก็สังเกตเห็น"

หลายฝ่ายจะให้ท่านทำอย่างนั้น ทำอย่าง นี้ ทำไม่ได้หรอก พูด อย่างนั้นเป็นการพูดกันตามอำเภอใจ แต่พระองค์ ทรงมีทศพิธราชธรรมอยู่ข้อหนึ่งคือ อวิโรธนะ คือทำผิดไม่ได้ ต้องดูความเหมาะ สม ถูกกฎหมายหรือไม่ ผิด กฎหมายหรือไม่ รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าอย่างไร ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ บางทีก็ไม่ รู้เรื่องตอนหนึ่งมี นักข่าวต่างชาติมาสัมภาษณ์ท่านเรื่องพฤษภาทมิฬ ท่านรับสั่งว่า ตอนนั้นนายกรัฐมนตรีก็มี รัฐบาลก็อยู่ จะให้ท่านออกมาได้ อย่างไร ถ้าท่านออกมาก็จะถูกหาว่าเข้าข้างรัฐบาล ได้ เมื่อทั้ง 2 ฝ่าย ควบคุมกันไม่ได้ แล้วมีคนตาย ท่านก็ออกมา ท่านจะทรงทำอะไร ไม่ทำอะไร เป็นเรื่องที่ยากมาก ท่านมีกรอบ มีคนมาวิพากษ์วิจารณ์ ท่าน พระองค์ท่านก็นิ่งเงียบ อดทน ไม่เหมือนเรา ใครด่า เราก็ด่าตอบ แต่ท่านทรงทำอย่างนั้นได้ที่ไหน

"ในหลวง เป็นนักบุญที ่มีชีวิต"

เรื่องที่วิจารณ์เปรียบเทียบกันว่า สถาบันของไทยไม่เหมือนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ประเทศอื่น ก็ใช่ ของเขาก็ของเขา ไม่เหมือนของเรา เปรียบเทียบกันไม่ได้ ผมก็เคยพูดไปว่าไม่เหมือนกันระหว่างเมืองไทยกับ ประเทศอื่น ก็มีคนหาว่าผมเล่านิทานโกหก

สถาบันของ เราถวายคำว่ามหาราช ท่านก็ยังไม่รับ พระองค์ท่านเป็นนักบุญที่มีชีวิต ตลอด 63 ปี ท่านทรงงานตลอด ท่านทรงทำอะไรไม่ดีต่อแผ่นดินบ้าง พระองค์ ท่านเหมือนพระ ท่านทำเพื่อทำ ท่านเคยตรัสว่า "ฉันใช้ระบบสังฆทาน ทำไปโดยไม่เจาะจงว่าเพื่อใคร" หาอย่างนี้ไม่ได้แล้ว

 

เด็กรุ่น ใหม่เขาอาจจะไม่เคยสัมผัส ทั้งๆ ที่สื่อก็ออกมามากมาย แต่ยุคสมัยมัน เปลี่ยนไป เพราะไปศึกษาในโลกตะวันตก ก็มีค่านิยมอีกแบบ ที่สุดก็ถูกครอบงำ โดยตะวันตก จนลืมรากเหง้าตัวเอง เด็กรุ่นใหม่ก็คิดเรื่องเงินตัวเดียว ทำงานก็เพื่อเงิน ต้องรวย คุณธรรมช่างหัวมัน ทัศนคติเด็กที่คิด เรื่องคอรัปชั่น บอกว่าขอให้สะดวกสบาย มีการบริการ ไม่แยกแยะ เรื่องดีเรื่องไม่ดี…

"เมื่อถูกอ้าง…จะให้ทำอย่างไร"

เรื่องที่ถูก "อ้าง" คนใกล้ไม่ได้อ้าง คนอ้างไม่ได้ใกล้นั้น "ดร.สุเมธ" ต้องถอนหายใจหลาย ครั้ง กว่าจะเริ่มตอบอย่างมีคำถาม

จะให้ทำอย่างไร…แต่เราก็ไม่เคย ถ้าพระองค์ไม่เรียกก็ไม่เข้าเฝ้าฯ เรียก หาก็เข้าเฝ้าฯ เรื่องอ้าง เรื่อง ข่าวลือ มันมีมาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว สมัยรัชกาลที่ 5 ก็มีเรื่องหยุมหยิม เรื่องมูลฝอย ผมเคยอ่านหนังสือ สมัยรัชกาลที่ 5 ทรงมีรับสั่งว่า "เลิกนินทากันซะทีเถอะ" ขอให้พอทีเถอะ ข่าวโกหกคนโง่ก็เป็นเหยื่อ คน ฉลาดฉุกคิดได้ก็รอดไป เป็นเรื่องมนุษย์ บ้านเมืองวุ่นวาย เหมือนเชื้อโรค ย่อมมีอยู่รอบตัวเรา สำคัญว่ามี คนเชื่อหรือเปล่า…ทำไมถึงเชื่อกันง่าย

เมื่อสถาบันถูกกระทบกระเทียบจากฝ่ายต่างๆ "ข้าแผ่นดิน" ที่ตามรอยเส้นทางเสด็จฯ ยังคงก้มหน้าก้มตา เดินตามทาง แห่ง "พ่อ" ของแผ่นดิน

 

ก็ต้องทำหน้าที่ ไปสอน ไปอบรม ไปพูด คนตีกันก็ห่วง พอห้ามตีกันก็โดนด่ากลับ มา ผมไม่เข้าใจคนในสังคมนี้ เราบอกให้สงบ เลิกทะเลาะกัน ก็ด่าเราอีก

 

"ดร.สุเมธ-คนกลาง อำมาตย์ 100 เปอร์เซ็นต์"

"ผม เป็นอำมาตย์ 100% ในชีวิตไม่เคยทำอะไร นอกจากเป็นข้าราชการ อำมาตย์ก็คือข้า ราชการ มียศ มีศักดิ์ ใช่…แล้วไง แล้วตอนบ้านเมืองจน มุม ก็มีแต่พวกอำมาตย์กู้ชาติ ถ้าผมตายก็ตาย ไม่รู้จะเตือนอย่างไร จำนวนคนอวิชชามันเยอะ ถ้าเขาฟัง ก็ฟัง เขาด่าเราก็ไม่ด่าตอบ ทำตามบทบาทหน้าที่ ทำได้เท่านี้ แล้วก็ทำไม่เคยหยุด เสาร์-อาทิตย์ ก็ทำงาน"

 

ถ้าจะให้เตือน มีอย่าง เดียวคือ ไม่ต้องห่วงใคร ถ้า มีสติ ห่วงตัวเองเท่านั้นแหละ ถ้ามีสติ จะรู้ตัวว่าตัวเองยืนอยู่ตรง ไหน หรืออยากจะเป็นคนอพยพ อยากอยู่ที่โน่น ที่นี่ ก็เชิญ ผมอยากอยู่ที่นี่ อยากให้ลูกหลานอยู่ที่นี่ ใครจะสร้างรัฐ ใหม่ ไปอยู่รัฐใหม่ เรา ไม่ไป เราจะอยู่รัฐเก่านี่แหละ

คนที่เรียกร้องคนกลางมาแก้ปัญหา เราก็สุดปัญญาจะอธิบาย คนกลางก็มีแล้ว มีหมดทุกอย่าง มีเครื่องมือครบ แต่ก็ไม่อยากจะซ่อมกัน ปล่อยให้ เครื่องมือเสีย

เพราะฉะนั้น สื่อเอง แหละที่ต้องทบทวนตัวเอง มีหน้าที่พร้อมมูล คนกลางพูดไปเถอะ ไม่มีมรรคผลหรอก คนกลางออกมา คนฟังก็อาจจะมี คนไม่ฟังก็อาจจะมี ถ้าสื่อจับมือ กันกระหน่ำคนที่ทำผิด พักเดียวก็อยู่ ตอนนี้สื่อไม่มีเอกภาพ แต่ถ้าลอง พร้อมใจกันหยุดทำมาหากินสักพัก แล้วเห็นใคร บ้าๆ บอๆ ก็กระหน่ำให้ อยู่…ขุดโคตรมาเลย รับรองทุกอย่างจะเข้าที่ โดยเร็วที่สุด ดังนั ้นสื่อนั่นแหละคนกลาง

 

ผมคาดหวังในพลังของสื่อมาก ต้องนำมาใช้ในทาง positive ที่ผมพูดนี้ พูดโดยบริสุทธิ์ใจ ผมเสนอว่าลองหยุดสัก 6 เดือน เป็นสื่อกู้ชาติ

"พระเจ้าอยู่หัวท่านทำร้ายใคร…ไม่มี ท่านทรงอยู่เฉยๆ"

ประชาธิปไตย เขาสอนหรือ ว่าให้อยู่เฉยๆ เวลาเห็นคนโกง การมาตามประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นให้เขากินกันอย่างนั้นหรือ แล้วมาบ่นกันทำไม…น่าเศร้า

 

"โดนโจมตีว่าเป็นอำมาตย์ แล้วจะ ให้ผมทำอย่างไร ผมก็เป็นผม ผมเป็นอำมาตย์ ผมจะเจียระไนให้ดูว่า อำมาตย์คนนี้ทำอะไรบ้าง เป็นคนทำ งานพัฒนาชนบท เคยออกรบ โดด ร่มกลางป่า ก็อำมาตย์ทำทั้งนั้น ตอนนี้เป็นอดีตอำมาตย์ที่เกษียณ แต่ ยังกินเงินเดือนอำมาตย์อยู่ รับเงินเดือนทุกเดือน ใครมาด่าเราก็ปลง เราไปช่วยเขา แท้ๆ"

 

ในช่วงสองสามปีมานี้อำมาตย์โดนวิพากษ์ วิจารณ์มากเป็นพิเศษ แต่ "ดร.สุเมธ" บอกว่า "ผมอยู่ตรงกลางจริงๆ แดงก็ด่า เหลืองก็ด่า ทั้งๆ ที่อยู่ตรงกลางที่สุดแล้ว ผมก็ทำงานไป จะเอาอะไรไปตอบโต้ ใครเดือดร้อนก็ไปช่วย อย่าพะวง ว่าจะโดนด่า พระพุทธเจ้ายังถูกนินทา โดนทำร้ายด้วย แล้วเราจะเหลืออะไร"

"คนที่พูดคำว่า จงรัก ภักดี คำที่ดีที่สุดคือ สติ เหนือสิ่งอื่นใด ทุกวันนี้สติหด หาย ขาด ถ้า มีสติ มีศีล มีปัญญา ฉลาดรอบคอบ ก็ไม่ทำให้ใครเดือด ร้อน เพราะฉะนั้น คนใน สังคมต้องมีสติ อย่าขาดสติ จะให้เราเข้าใจที่สุด"

คำต่อคำของอำมาตย์ ๑๐๐% จบสมบูรณ์ ๓ ครับ หัวข้อสำคัญของวันนี้ อ่านทบทวนกันให้ดี ผมจะไม่หยิบตรงไหนมา สรุป เพราะถึงเวลาที่ทุกคนต้อง "สรุป-ด้วยใจ" ตัวเองกันแล้ว.

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ..

อดีตนายกฯอานันท์พูดถึง’เสื้อแดง’-‘ทักษิณ’-‘สถาบันกษัตริย์’-‘อภิสิทธิ์

25 มี.ค.

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 มีนาคม 2553 03:05 น.

เอเชียไทมส์ออนไลน์ – “อดีตนายกฯอานันท์” ให้สัมภาษณ์ ฮาซีนะห์ โคยาคุตตี ผู้สื่อข่าวอิสระ และนำออกเผยแพร่ทางเว็บไซต์เอเชียไทมส์ออนไลน์ โดยใช้ชื่อเรื่องว่า “A royalist speaks in Thailand” ในการให้สัมภาษณ์คราวนี้ นายอานันท์ ปันยารชุน ได้ให้ความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ อย่างกว้างขวาง ทั้งเรื่องการประท้วงของ “เสื้อแดง” , โอกาสที่จะกลับมาของ “ทักษิณ”, สถาบันกษัตริย์ในประเทศไทย, ไปจนถึง ผลงานของนายกฯอภิสิทธิ์ และความเป็นไปได้ที่จะเกิดการรัฐประหารอีก


        
       ต่อไปนี้ เป็นส่วนหนึ่งของสิ่ง ที่เอเชียไทมส์ออนไลน์นำออกเผยแพร่
       
       
เอเชียไทมส์ออนไลน์ (Atol): เรื่องการประท้วงของแนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)สวมเสื้อแดงในตอนนี้
       
       
นายอานันท์ ปันยารชุน: พวกเขาคงอยู่ในสภาพหมดมุกหมดไอเดียแล้ว และก็ไม่มีคณะผู้นำด้วย คน 3-4 คนเหล่านี้ (ผู้นำของ นปช. ได้แก่ นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายวีระ มุสิกพงศ์) มีแต่ตีโวหารตลอดเวลา พวกเขาไม่มีเครดิตไม่มีความน่าเชื่อถืออะไรเลย บางคนในค่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งได้รับความเชื่อถือมากกว่า ก็ไม่เคยออกหน้ามาเลย
       
       (อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.) ชวลิต (ยงใจยุทธ) หายหน้าไป (อดีตรองผู้อำนวยการ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน) พล.อ.พัลลภ (ปิ่นมณี) อยู่ที่ไหนล่ะ ไม่มีใครออกมากันเลย ผมคิดว่าในความคิดของ พล.อ.ชวลิตนั้น เขาทราบดีว่ามันเป็นการต่อสู้ที่มีแต่ต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน การชุมนุมเดินขบวนพวกนี้น่ะ และพวกเขาก็คงต้องใช้เงินไปเป็นจำนวนมากแล้ว
       
       ผมคิดว่าความลำบากสำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ตรงที่ว่า ในช่วงเวลาประมาณหนึ่งปีที่ผ่านมา เขามีแต่คนของเขาเองเท่านั้นที่อยู่แวดล้อมตัว เขาได้แต่พูดกับ “พวกที่เข้ารีต” พวกเข้ารีตเหล่านี้ก็มีอยู่หลายชนิดนะ พวกเข้ารีตจริงๆ บางคนที่กระดิกหางและยกย่องบูชา พ.ต.ท.ทักษิณจริงๆ แต่ก็มีพวกเข้ารีตอีกมากมายที่ทำไปเพื่อวาระส่วนตัวของพวกเขาเอง, เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเอง, ผลประโยชน์ทางการเงินของพวกเขาเอง ดังนั้น เขาจึงได้ฟังแต่เรื่องราวเพียงด้านเดียวเท่านั้น ผมแน่ใจว่าเขากำลังถูกชักนำไปในทางที่ผิดจากพวกผู้นำเหล่านี้ ผู้ซึ่งเอาแต่พูดว่าพวกเขาสามารถทำการต่อสู้ในสงครามชนิดที่จะเป็นสงคราม ครั้งสำคัญมากๆ เป็นสงครามครั้งที่จะตัดสินชี้ขาดแน่ๆ
       
       สำหรับพวกลูกเล่นชวนขำและตื่นเต้นโลดโผนอะไรที่เอาออกมาใช้กันทั้ง หมดนี่นะ พวกเขาอย่างน้อยที่สุด ผมก็จะต้องให้เครดิตแก่พวกเขานะ … ผมคิดว่าพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนการเล่นโวหารของพวกเขาให้กลายเป็นการกระทำที่ รุนแรง ผมคิดว่าในส่วนของพวกเขามีการบันยะบันยังกันในบางระดับ เบื้องหลังฉากก็มีการติดต่อสื่อสารกันอย่างสม่ำเสมอระหว่างพวกผู้นำของขบวน การนี้ กับพวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบ ทั้งในเรื่องวิธีการคลี่คลายสถานการณ์ ตลอดจนวิธีบรรเทาปัญหาบางอย่างที่อาจส่งผลกระทบกระเทือนการดำเนินชีวิตประจำ วันของประชาชน
       
       
Atol: เกี่ยวกับวาระที่แท้จริงของพวก นปช.
       
       
นายอานันท์: มีบางเรื่องบางประเด็นปัญหาที่พวกเสื้อแดงหยิบยกขึ้นมา ในทัศนะของผมแล้ว ผมเห็นว่ามีเหตุมีผลสมควรรับฟังนะ แต่ปัญหาเหล่านี้ได้เกิดขึ้นมานานแล้วในประวัติศาสตร์แห่งการปกครองตามระบอบ ประชาธิปไตยของเรา และปัญหาเหล่านี้ก็มีอยู่ในสังคมอื่นๆ ในประเทศอื่นๆ ทั้งหลายด้วย
       
       ปัญหาอย่างเรื่องช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่ถ่างกว้างออกไป ทุกที, โอกาสอันไม่เท่าเทียมกัน ประเด็นปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เพิ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่ และก็ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นในประเทศไทยในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง ทุกๆ รัฐบาลต่างได้พยายามที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ทว่าไม่มีใครหรอกที่สามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว
       
       ผมคิดว่ามีความระแวงสงสัยกันอย่างลึกซึ้งทีเดียว ไม่ว่าความระแวงสงสัยนี้จะถูกหรือผิดก็ตามที ว่าพวกเสื้อแดงมีประเด็นอื่นๆ อีกบางอย่างที่เป็นวาระซ่อนเร้นเอาไว้ ผมคิดว่ามีความสับสนในเรื่องนี้ โดยที่มีประเด็นปัญหาที่ชอบธรรมสมเหตุสมผล และก็มีปัญหาที่เราควรจะเรียกว่าเป็นประเด็นที่ไม่ชอบธรรมไม่สมเหตุสมผล
       
       เมื่อพวกเขาพยายามที่จะกระตุ้นยั่วยุการชุมนุมเดินขบวนนี้ให้กลาย เป็นความเคลื่อนไหวของสงครามทางชนชั้น นี่จะไม่ได้ผลหรอกในประเทศไทย พวกคอมมิวนิสต์ได้เคยพยายามมาแล้วเมื่อ 25 ปีก่อน มันจะไม่ได้ผลก็เพราะไม่ได้มีเรื่องแบบที่ว่าเลย ประเด็นปัญหาหลักๆ คือเรื่องของ น้ำ, ถนนหนทาง, การสาธารณสุข, การศึกษา ต่างหากล่ะ
       
       
Atol: เกี่ยวกับสภาพการณ์ที่จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณสามารถเดินทางกลับประเทศไทยในวันหนึ่งข้างหน้า
       
       
นายอานันท์: ผมไม่เห็นว่ามีโอกาสอะไรนักหรอกที่เขาจะได้กลับมา ผมไม่ค่อยแน่ใจว่ายุทธศาสตร์ของเขาเป็นยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องแล้ว เขาเป็นคนที่น่าคบหาคนหนึ่ง ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรในการติดต่อกับเขา ทว่าในระยะสองปีมานี้ เขาถูกรับรู้ถูกเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นความรับรู้หรือความเข้าใจที่ถูกหรือผิดก็ตาม ว่าเขาได้ไปไกลจนเลยจุดที่สามารถหวนกลับมาได้แล้ว ทั้งในแง่คำพูดของเขา ในแง่การกระทำของเขา
       
       ประชาชนคนไทยยอมรับไม่ได้หรอก เมื่อตรงนี้เรามีบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งในทัศนะของคนจำนวนมาก เห็นว่าเป็นคนหลบหนีคดี เป็นบุคคลซึ่งในทัศนะของคนจำนวนมาก เห็นว่าเป็นคนทุจริตคดโกง เป็นบุคคลซึ่งในทัศนะของคนจำนวนมาก เห็นว่าเป็นคนที่หลักความประพฤติมีความบกพร่อง การที่เขาพาตัวเองไปตั้งป้อมอยู่นอกประเทศ แล้วทำการยุยงเพื่อที่จะฟื้นคืนสู่อำนาจในประเทศไทย ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้
       
       เมื่อคิดไปแล้ว ก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะเมื่อตอนที่เขาขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก ผมเคยตั้งความหวังไว้สูง ว่าเขาสามารถที่จะเป็นนักการเมืองคนสำคัญมากๆ ผู้ซึ่งสามารถนำประเทศชาติไปในทิศทางใหม่ และก็เป็นผู้ซึ่งสามารถผลักดันประชาธิปไตยในประเทศไทยให้ก้าวไกลไปอีก ทว่านับเป็นโชคร้าย เขาดูจะถูกครอบงำด้วยผลประโยชน์บางสิ่งบางอย่าง
       
       
Atol: ในเรื่องความเป็นไปได้ที่จะมีการพระราชทานอภัยโทษให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อทำให้เกิดความปรองดองในชาติ
       
       
นายอานันท์: ไม่ว่าอะไรก็ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทรงตรัส ล้วนแต่ต้องอยู่ภายในขอบเขตสิทธิตามรัฐธรรมนูญของพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญในทุกๆ มาตราอย่างเคร่งครัดยิ่ง และแน่นอนทีเดียวว่า การดำรงพระองค์ในฐานะเป็นพระมหากษัตริย์หรือพระมหาราชินี ย่อมจะต้องมีเอกสิทธิ์ 3 ประการ ซึ่งได้แก่ หนึ่ง สิทธิที่จะทรงได้รับการปรึกษาหารือ, สอง สิทธิที่จะทรงแนะนำส่งเสริม, และสาม สิทธิที่จะทรงตักเตือน
       
       
Atol: เกี่ยวกับราชวงศ์จักรีในอนาคตข้างหน้า
       
       นายอานันท์:
 ในช่วงเวลาที่มีความสงบสันติมากกว่านี้ สถาบันพระมหากษัตริย์ก็กำลังมีการปรับตัวอยู่อย่างสม่ำเสมอ ระบบพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยนั้นหยั่งรากอย่างลึกซึ้งอยู่กับเรื่องความ สูงส่งน่าเกรงขาม, ในเรื่องแบบแผนและพิธีกรรม, ในพิธีการอันยิ่งใหญ่โอ่อ่า ก็เหมือนกับในญี่ปุ่น ก็เหมือนกับในอังกฤษเมื่อสัก 100 หรือ 200 ปีก่อน อังกฤษมีโอกาสดีกว่าในการวิวัฒนาการตนเองกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในระยะ 20 ปีที่แล้ว
       
       และเมื่อคุณตัดช่วงเวลาให้สั้นลง คุณก็จะต้องให้ความยุติธรรมกับเราเหมือนกัน บางครั้งเราไม่สามารถไปอย่างรวดเร็วอย่างที่ผู้คนต้องการ ประชาชนส่วนข้างมากอย่างท่วมท้นทีเดียวมีความเคารพเทิดทูนและความจงรักภักดี ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราและรัฐธรรมนูญของเราอย่างลึกซึ้ง ประชาชนส่วนข้างมากอย่างท่วมท้นที่ว่านี้ ก็คือประชาชนจำนวน 95% ขึ้นไป เราสามารถที่จะรักษาระดับขนาดนี้เอาไว้ได้ไหม ผมขอคิดแบบอิงความเป็นจริงนะ คงไม่สามารถรักษาไว้ได้หรอก
       
       ผมคิดว่าถ้าคุณจัดทำโพลในอังกฤษ โดยถามประชาชนว่าพวกเขาต้องการสถาบันกษัตริย์หรือไม่ บางทีเปอร์เซ็นต์ของคนที่ตอบรับอาจจะอยู่ที่ประมาณ 42% แต่ผมมั่นใจว่าในประเทศนี้มันยังคงอยู่ที่ 80-90% และในจำนวน 80-90% นี้ ยังมีบางส่วนที่เป็นพวกผู้นิยมระบอบราชาธิปไตย (monarchist) อย่างแท้จริง หรือเป็นพวกนิยมกษัตริย์ (royalist) อย่างแท้จริง ซึ่งมีความจงรักภักดีอย่างมากๆ อาจจะระหว่าง 40 หรือ 50 หรือ 60% ทีเดียว สำหรับส่วนที่เหลือก็ไม่ได้เห็นว่าเป็นความเสียเปรียบอะไรที่จะมีชีวิตอยู่ ภายใต้สถาบันพระมหากษัตริย์
       
       
Atol: เกี่ยวกับผลงานของนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
       
       
นายอานันท์: ในช่วง 6 เดือนแรก เขาถูกมองว่าพยายามแสดงความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ และเขาก็ถูกมองว่าอ่อนข้อมากเกินไปให้แก่พวกที่ เราน่าจะเรียกว่า คนที่น่ารังเกียจภายในรัฐบาลของเขาเอง และแน่นอนทีเดียวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะคาดหวังว่าเศรษฐกิจกำลังดีขึ้นมาอีกครั้งแล้ว แต่ตอนนี้หลังจากผ่านไปปีกว่าๆ เศรษฐกิจก็ดูเหมือนส่งเสียงดังอยู่เป็นพักๆ ว่ากำลังออกมาจากภาวะถดถอยแล้ว
       
       
Atol: เกี่ยวกับโอกาสที่จะเกิดการรัฐประหารยึดอำนาจขึ้นมาอีก
       

       
นายอานันท์: กองทัพไม่ได้โง่เขลาถึงขนาดนั้นหรอก พวกเขารู้ดีว่าพวกเขาพลาดท่าเสียทีที่ทำรัฐประหารในครั้งหลังสุด และการรัฐประหารครั้งต่างๆ ในอดีตที่ผ่านมาก็ไม่เคยเลยที่จะสามารถแก้ไขปัญหาของประเทศชาติได้

“มิรูโม่..มาเฟียแห่งความดี

12 มี.ค.

 

     ณ ชุมชนที่เงียบสงบ ต. อินทร์บุรี จ. สิงห์บุรี

มีกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักของ คนในหมู่บ้านเป็นอย่างดี

ที่สำคัญว่ากันว่า หัวหน้าของกลุ่ม – แก๊งนี้มีอายุเพียงแค่ 13

ปีแต่ กลับมีลูกสมุนคอยหนุนหลังถึง 10 กว่าคน

โดยสมุนตัวเปี๊ยกสุดจะถูกเรียก ขานว่า "เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม"

 

กิจวัตรของสมาชิกในแก๊ง

สร้าง ความฮือฮาให้แก่บรรดาผู้ใหญ่ในชุมชนเสมอแต่มิใช่การซิ่งมอเตอร์ไซค์

การชกต่อย หรือการเสพยา แต่เป็นภารกิจเพื่อสังคมง่ายๆ อย่าง การเก็บขยะ

ถาง หญ้า กวาดลานวัด ขัดห้องน้ำ เด็กๆ กลุ่มนี้เขาเรียกตัวเองว่า

      "มิรูโม่ …มาเฟียแห่งความดี"

 

มิรูโม่ : แก๊งนี้มีที่มา

 

" น้องตั้ม" ด.ช.สุรชัย จิตตั่ง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1

โรงเรียนศรีวินิตวิทยาคม หัวหน้าแก๊งมิรูโม่ บอกว่ามีสมาชิกทั้งหมด 14

ชีวิต ซึ่งสมาชิกในแก๊งล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนๆ

และลูกพี่ลูกน้องของน้องตั้ม ทั้งสิ้น

 

      แก๊งนี้เป็นที่รวมของสมาชิกวัยละอ่อน ตั้งแต่รุ่นดูดขวดนม 2 ขวบครึ่ง

ไปจนถึง 13 ปี ซึ่งที่มาในการก่อตั้งแก๊งนั้น

น้องตั้มรับสารภาพว่าพวก เขาได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์เรื่องอนุบาลเด็กโข่ง

 

" คือวัดนี้มีพระอยู่รูปเดียว ทุกวันผมก็จะเห็นหลวงตา (พระระพิน

กิตฺติโก เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทอง จ. สิงห์บุรี) กวาดลานวัดอยู่คนเดียว

แดดก็ร้อน ผมสงสารว่าท่านคงเหนื่อยมาก ผมเลยเข้าไปช่วย แล้วก็มีเพื่อนๆ

อีก หลายคนตามไปช่วยด้วย เราก็เลยปรึกษากันและตั้งแก๊งขึ้นมาครับ

คือความคิด ในการตั้งแก๊งเนี่ยเกิดมาจากการที่เราไปดูหนังเรื่องอนุบาลเด็กโข่งซึ่งเป็น เรื่องของเด็กอนุบาลที่รวมตัวกันตั้ง

แก๊งของตัวเองขึ้นมา

 

มันก็คล้ายๆ กับพวกเราเหมือนกัน

เพราะปกติ เราจะขี่จักรยานไปโรงเรียนพร้อมกันบางทีก็ชวนกันไปขี่จักรยานเล่น

แต่ใน หนังเขาเป็นแก๊งอันธพาล หัวหน้าแก๊งแต่ละแก๊งพยายามขยายอิทธิพล

มีการยก พวกตีกัน เหมือนพวกมาเฟีย

แต่แก๊งเราไม่ใช่แบบนั้นครับเราเป็นแก๊งที่รวมตัวกันทำความดี "

 

โดย ปกติตอนเย็นหลังเลิกเรียน พวกเราก็จะมาช่วยหลวงตากวาดลานวัดกันทุกวัน

เห็น ใบไม้มันรกน่ะครับ แล้วก็ช่วยเก็บขยะ ถางหญ้า ล้างห้องน้ำ

มันก็เหนื่อย เหมือนกัน

แต่เราทำไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ช่วยกันหลายๆ คนเดี๋ยวก็เสร็จ

นอกจาก นั้นตอนเช้าผมกับเพื่อนอีก 2

คนก็จะไปช่วยหลวงตาถือของตอนออกบิณฑบาต

เสร็จ แล้วถึงจะกลับมาอาบน้ำไปโรงเรียน

 

จริงๆ พวกเราก็ชอบเล่นสนุกกันนะครับแต่จะช่วยหลวงตาทำงานให้เสร็จแล้วค่อยไปเล่น

คือหลวงตาท่านใจดี ไปช่วยท่าน

ท่านก็ให้ขนมพวกเรากินทุกวันพ่อแม่เห็นพวก ผมไปช่วยหลวงตาที่วัดเขาก็บอกว่าดีแล้ว

ได้บุญ คุณครูที่โรงเรียนก็บอกว่าดีให้ทำต่อไปเรื่อยๆ

ผมก็ภูมิใจที่ได้ช่วยวัด ทำให้วัดไม่รก แล้วก็ได้บุญด้วย

ดีกว่าไปเล่นเกมตามร้านเน็ต เล่นแล้วก็ติด เสียการเรียน เปลืองเงินด้วย

 

หลวงตาระพิน กิตฺติโก เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทอง เมตตาให้ข้อมูลว่า

 

ทั้งวัดก็ มีอาตมาอยู่รูปเดียว อยู่ได้สักพักเด็กๆ

พวกนี้เขาก็มาช่วยทำความสะอาด วัด เขาบอกว่า สงสารหลวงตา (ยิ้ม)

ใบไม้มันร่วงเยอะ เช้าๆ อาตมาไปบิณฑบาตเด็กๆ

ก็จะมาช่วยมากันตั้งแต่ตี ห้าเลย เขาก็ขี่รถซาเล้งพาอาตมาไปที่ตลาด

พอถึงตลาดก็เดินบิณฑบาตไป เรื่อยๆ เด็กเขาก็ถือกระป๋องเดินตาม

เดินกันเป็นกิโลๆ เลย เขาก็สนุกกันตามประสาเด็กๆ กลับมาถึงวัด

อาหารที่เหลือจากอาตมา พิจารณาแล้วก็จะแจกจ่ายให้เด็กๆ ไป อาตมาว่าก็ดีนะ

เด็กๆ มาทำความดีกันช่วยพระช่วยวัด มันหายากนะสมัยนี้

 

 

อนุโมทนาขอบคุณข้อมูลจากัลยาณมิตร

ขอจงมีความสุข ความเจริญ ธรรมรักษา

 

ทำอย่างไร ไม่ให้ถูกมอมยา

31 ม.ค.

 ปัจจุบัน มักมีข่าวเกี่ยวกับยานอนหลับซึ่งใช้ในการก่ออาชญากรรมปรากฏเป็นข่าวหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์อยู่เป็นระยะๆ จากอดีตที่เคยใช้เพียงเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์หรือเหล้าสำหรับมอมเหยื่อ เพื่อล่วงละเมิดทางเพศ แต่ระยะหลังได้หันมาใช้ยานอนหลับเป็นเครื่องมือสำหรับการมอมเหยื่ออย่างง่าย ดายและรวดเร็ว เพียงอาศัยการพูดคุย ทำท่าทางให้สนิทสนม เมื่อเหยื่อเผลอจึงแอบใส่ยาลงไปในเครื่องดื่มหรืออาหาร

 

ยานอนหลับ (Hypnotic) ที่ถูกนำไปใช้นั้น เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง โดยมีฤทธิ์ทำให้หลับ คลายกล้ามเนื้อ จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ ตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 ซึ่งผู้ที่มีสิทธิสั่งจ่ายได้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ และผู้ที่จะใช้ยาในกลุ่มนี้ต้องใช้ตามคำสั่งของแพทย์เท่านั้น ผู้ได้รับ

 

ยากลุ่ม นี้ (กลุ่มเบนโซไดอาเซปีนส์ที่มีการออกฤทธิ์เร็ว) จะมีอาการง่วงซึม มึนงง เดินเซ ปวดศีรษะ และสูญเสียความทรงจำ ความจำในระหว่างที่ได้รับยาลดลง การตัดสินใจไม่ดี ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการสั่นและฝันร้าย หากได้รับมากเกินไป หรือได้รับร่วมกับแอลกอฮอล์ อาจกดการหายใจ ทำให้เสียชีวิตได้

 

การ ถูกมอมยามักเกิดจากการจงใจวางแผนของมิจฉาชีพ ดังนั้นจึงต้องระวังตนเองอยู่เสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสการถูกมอมยา โดยมีแนวทางการปฏิบัติดังต่อไปนี้

 

1. กรณีที่ไปงานเลี้ยงหรืองานสังสรรค์ ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์
2. หากต้องดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ให้ดื่มพอประมาณ เพื่อให้มีสติอยู่ตลอดเวลา
3. รับเครื่องดื่มจากบุคคลหรือเพื่อนที่ไว้ใจได้ อย่ารับเครื่องดื่มจากผู้ที่เราไม่รู้จักดี หรือไม่สามารถเชื่อ
ใจได้ และเครื่องดื่มนั้นต้องไม่ได้ผ่านการเปิดฝามาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือน้ำอัดลม
สำรวจภาชนะบรรจุว่าอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยถูกเจาะหรือรอยปิดด้วยเทป หากเป็นเครื่องดื่มที่ต้อง
ผสมควรไปดูการเตรียมเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์และรับมาด้วยตนเอง
4. ต้องมีเพื่อนไปด้วยเสมอ และเป็นเพื่อนที่แน่ใจว่าสามารถดูแลซึ่งกันและกันได้
5. ดื่มและกลืนอย่างช้า ๆ เพราะหากเครื่องดื่มถูกใส่ยาลงไป จะทำให้มีเวลาพอที่จะระวังตัวได้ทัน
6. อย่าแบ่งหรือแลกเปลี่ยนเครื่องดื่มและอาหารกับผู้อื่น
7. อย่าดื่มเครื่องดื่มที่อยู่ในจากภาชนะส่วนรวม หรือภาชนะเปิด เช่น อ่างใส่พั้นซ์ เพราะง่ายต่อการ
ถูกใส่ยา หรืออาจถูกใส่ยาไปแล้ว
8. หากรู้สึกว่ารสหรือกลิ่นของเครื่องดื่มเปลี่ยนไปจากเดิม ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มนั้นต่อ
ยามอมบางชนิดมีรสเค็ม
9. ไม่ควรละสายตาจากเครื่องดื่มของตน หากเป็นไปได้ควรใช้มือปิดที่ปากแก้วหรือภาชนะ ก่อนที่จะต้องหันไปทางอื่นหรือสนทนากับบุคคลอื่น
10. เมื่อต้องเข้าห้องน้ำหรือออกไปเต้นรำ กลับมาแล้วอย่าลืมที่จะเปลี่ยนแก้วใหม่
11.หาก เริ่มรู้สึกว่ามีอาการแปลก ๆ หรือรู้สึกเมาหลังจากดื่มไปได้เพียงเล็กน้อย ให้รีบขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่ไว้ใจได้ พึงปฏิเสธความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้า เพราะอาจจะเป็นคนที่ลอบวางยาเรา

อาการที่บ่งบอกกว่าเราถูกมอมยา

  • รู้สึกเมาโดยไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือดื่มเพียงเล็กน้อย
  • รู้สึกมึนงงและง่วงนอนโดยไม่ทราบสาเหตุ

นอก จากนี้เราควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับยาต่างๆ ที่ใช้ในการมอมเหยื่อ ให้ทราบถึงรูปแบบการใช้และผลที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันตนเองหรือสามารถให้คำแนะนำแก่ผู้อื่นได้

ที่มา : ทำอย่างไร ไม่ให้ถูกมอมยา โดย เภสัชกรหญิงธีรธร มโนธรรม กองควบคุมวัตถุเสพติด

 พลังจิต.คอม

 

“ขอพร ให้ทานของพุทธศาสนา”

29 ม.ค.

             ในยามเช้าตรู่ของทุกวันหลังจากทำกิจวัตรก่อนรับอรุณเสร็จอาตมาก็
ได้ออกบิณฑบาตกับญาติโยมที่มีศรัทธาซึ่งเป็นกิจวัตรที่ได้ปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่บวช จนถึงวันนี้เกือบจะสิบปีจะมีวันที่ไม่ได้บิณบาตบ้างในกรณีที่เกิดอาพาธ(ป่วย)ถึงขั้นไปไม่ไหวหรือในบางวันที่ฝนตกมากๆเพราะอาตมาไม่ใช้ร่มเวลาออกบิณฑบาต มีหลายครั้งที่เดินบิณฑบาตเปียกน้ำฝน ญาติโยมที่อยู่ตามบ้านเห็นพระเปียกฝนก็เป็นห่วงรีบหาร่มมาให้ด้วยคิดว่าจะเป็นไข้ไม่สบาย ก็อนุโมทนากับโยมที่มีเมตตาอาตมาทนได้และไม่ใช้ร่มเวลาออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ ก็บอกโยมไปตามเหตุ
     ญาติโยมที่ใส่บาตรประจำก็จะใส่ด้วยอาหารมังสวิรัติ(ทำจากพืช ผักผลไม้ ข้าว ถั่ว งา)ส่วนโยมที่เวลาเจอพระตอนออกจากบ้านคิดอยากทำบุญใส่บาตรบางคนก็หาอาหารที่มีขายในร้านตามฟุตบาธที่แม่ค้ามาตั้งรถเข็นขาย หรือตามร้านอาหาร  เพราะสายบิณฑบาตที่ผ่านจะอยู่ใกล้ตลาดและชุมชนเมืองอาตมาพร้อมทั้งหมู่สงฆ์ที่ไปด้วยกันก็รับอาหารที่ฉันได้ ส่วนอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ ก็รับมาแล้วคืนโยมไปพร้อมทั้งบอกให้โยมได้ทราบ ว่าที่วัด เราไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์มานานหลายปีแล้ว..จะเล่าไว้ที่นี่สักเล็กน้อย..ตั้งแต่หลวงพ่อ  ท่านเจ้าอาวาสมาตั้งวัดที่นี่ก็ รวม ๒๙ปี..แรกเริ่มก็ยังฉันเนื้อสัตว์กันอยู่พอครบสามปีหลวงพ่อท่านก็เปลี่ยน  มาเป็นอาหารมังสวิรัติซึ่งไม่ใช่เรื่องๆง่ายๆเลย ทั้งพระภิกษุสามเณรที่อยู่ร่วมกันและแม่ชี..และชาวบ้านต่างก็มีปฏิกิริยา ไม่เห็นด้วยบางท่าน บางคนก็แยกไปอยู่ที่อื่น ญาติโยมถึงขนาดรวมกันต่อต้านไม่เห็นด้วยกับหลวงพ่อและพระสงฆ์กลัวว่าจะพาญาติโยมเดินผิดทางของศาสนาพุทธแม้จนวันนี้ก็ยังมีผู้ที่ไม่เข้าใจอยู่เป็นจำนวนมากแต่ด้วยความเอาจริงเอาจังของพระสงฆ์ที่มีความเห็นถูกตรง(สัมมาทิฏฐิ)ด้วยการเคร่งครัดที่ตนผ่อนปรนผู้อื่นทำให้อุปสรรคผ่านพ้นไปด้วยดี  จนทุกวันนี้ก็มีญาติโยมหันมาปฏิบัติธรรม รักษาศีล ๕ลดเลิกอบายมุขทานมังสวิรัติตามได้หลายคน.. 

 




  ตอนเช้ามีโยมคนหนึ่งใส่บาตร พอเสร็จก็นั่งรอพอไม่เห็นพระ สวดภาษาบาลี (สัพพี ติโย วิวัชชันตุ สัพพโรโค วินัสสตุฯ)โยมเลยถามว่า ไม่ให้พรกรวดน้ำหรือครับ โดยปกติอาตมาจะกล่าวเพียง "คำว่าสาธุ"เมื่อโยมใส่บาตรเสร็จไม่ได้สวดเหมือนที่โยมเคยเห็นส่วนมาก..อาตมาก็บอกโยมว่า โยมทำบุญใส่บาตรนั่นแหละคือพรแท้ๆของโยมเพราะพรหมายถึงความเจริญ ความประเสริฐเกิดขึ้นได้ด้วยการทำดีทางกาย วาจาใจ มีเวลาก็อ่านหนังสือธรรมะที่แจกให้ไปนะจะได้เข้าใจพุทธศาสนามากขึ้น..มีวันหนึ่งโยมผู้หญิงวัยสามสิบต้นๆเอาอาหารหลายอย่างทั้งไก่ย่าง หมูย่าง และลาบวัว มีข้าวสุก ผัก มาใส่บาตร พอพระรับเสร็จก็ส่งคืนให้โยม รับได้แต่ข้าวและผัก ผลไม้ที่ฉันได้
โยมก็พูดว่า "รับไปเถอะคะดิฉันใส่บาตรเพื่อจะส่งไปให้พ่อ เมื่อคืนฝันถึงพ่อที่ตายจากไปได้เกือบปีและในฝันพ่อบอกว่าอยากกินอาหารพวกนี้ " หากท่านทุกรูปไม่รับพ่อจะไม่ได้กิน"(โยมเข้าใจว่าอาหารที่ทำบุญถวายพระหากพระนำไปฉันแล้วผู้ที่ล่วงลับไปที่เกี่ยวข้องกับผู้ทำบุญจะได้กินได้ใช้ไปด้วย) อาตมาได้ฟังแล้วรู้สึกสงสารโยม ดูจากสีหน้าของโยมที่กังวล เลยบอกให้โยมฟังว่า การทำบุญแล้วจะส่งไปให้ผู้(อุทิศส่วนบุญ)ตายศาสนาพุทธไม่ได้สอนอย่างนี้ ที่โยมเคยได้ยินได้ฟังมานะท่านสอนกันมาผิดๆทำบุญแล้วจะกรวดน้ำส่งไปให้ผู้ตายนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ "บาป-บุญ" ใดๆแบ่งให้ ปันให้กันไม่ได้ของใครของมัน ศาสนาพุทธสอนให้เราเชื่อเรื่องกรรม (การกระทำ)  
                                        

               กัมมัสโกมหิ   เรามีกรรมเป็นของของตน
               กัมทายาโท    เรามีกรรมเป็นทายาท
               กัมมโยนิ        เรามีกรรมเป็นกำเนิด
               กัมมพันธุ       เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
              กัมมปฏิสรโณ เรามีกรรมเป็นที่พึงที่อาศัย

เพราะเหตุนี้กรรม(การกระทำใดๆ)ของใครๆจะมีได้เป็นได้เพียงตอนมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เท่านั้น หลังจากละโลกนี้ไปแล้วก็จะได้เพียงกรรมที่ตนเองสร้างไว้ในขณะมีชีวิตอยู่นั่นแหละติดตัวติดตนไป จนกว่าจะได้มาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ก็กลับมาสร้างกรรมกันใหม่ ฉะนั้นกรรมดี (กุศลกรรม) กรรมชั่ว (อกุศลกรรม)ที่ทุกคนกระทำทางกาย วาจาใจ จึงเป็นทรัพย์แท้ๆของทุกคนติดตามตนไปทุกภพทุกชาติจนกว่าจะหลุดพ้นจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน ถึงพระนิพพาน..   ด้วยเหตุนี้เราทั้งหลายพึงตั้งจิตทำความดี รักษาศีล ให้ทาน สร้างปัญญาให้แก่ชีวิตกัน อย่าประมาท..อนุโมทนาสาธุ 
                 

    " ทางเดินยังยาวไกล(วัฏฏสงสาร)  เตรียมเสบียงไว้ให้พอสั่งสมบุญใหม่รักษาบุญเก่าชีวิตจะมีแต่ความเจริญ"
        ขอความสุขที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืนจงมีแด่มวล    มนุษยชาติ          พุทโธ  ธมฺโม สงฺโฆ     

                                           

                                               

ธรรมะของเทวดา (เทวธรรมชาดก)

28 ม.ค.

                     

คนใจสูงเรียกว่าเทวดา
มีธรรมาอาวุธอยู่ในจิต
ละอายบาปไม่ทำแม้ความคิด
เกรงกลัวผิดติดบาปไม่อาจทำ

    กฎุุมพี (คนร่ำรวย) ชาวนครสาวัตถีคนหนึ่ง เมื่อภรรยาของเขาได้ตายจากไปแล้ว ก็คิดปรารถนา ออกบวช แสวงหาความสงบในชีวิต แต่ก็ยังติดหลงในความสุขสบายอยู่ จึงให้บริวาร เก็บสะสม ข้าวของเครื่องใช้ เอาไว้ให้ตน แล้วค่อยออกบวช ในพระพุทธศาสนา

ครั้นได้บวชเป็นภิกษุแล้ว ก็มักใช้ทาสของตนหุงต้มอาหารให้ตามชอบใจ แล้วแอบฉัน ในเวลา ค่ำคืนบ้าง แม้จีวรผ้านุ่งห่มก็มีเก็บไว้ในหลายที่หลายแห่ง จึงได้เป็นภิกษุ ผู้มีบริขาร (เครื่องใช้สอยของนักบวช) มาก

    วันหนึ่ง เมื่อภิกษุรูปนั้นกำลังนำจีวรและเครื่องปูลาดมากมาย ออกมาผึ่งแดด ที่ท้ายวิหาร ขณะนั้นเอง… มีพวกภิกษุชาวชนบท จาริกผ่านมาถึงบริเวณนั้น ได้เห็นจีวร และเครื่องปูลาด เหล่านั้นแล้ว จึงถามว่า

"จีวรกับผ้าปูลาดเหล่านี้ของใครกัน"

"ของผมเองครับ ท่านผู้มีอายุ"

"อ้าว! จีวร ผ้านุ่งเครื่องลาดทั้งหมดนี้ เป็นของท่านเพียงผู้เดียวเท่านั้นหรือ"

"ครับ เป็นของผมทั้งหมด"

ภิกษุชาวชนบทเหล่านั้นจึงพากันกล่าวว่า
"ท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไตรจีวร (ผ้าสามผืน คือ ๑. สังฆาฏิ = ผ้าทาบ ๒. อุตราสงค์ = ผ้าจีวร ๓. อันตรวาสก = ผ้าสบง) มิใช่หรือ ท่านบวชอยู่ในศาสนา ของพระพุทธเจ้า ผู้มักน้อยอย่างนี้ ยังจะเป็นผู้มีบริขารมาก อีกเชียวหรือ มาเถิดท่าน พวกเรา จะนำท่าน ไปพบพระศาสดา

แล้วก็พากัน นำเอาภิกษุรูปนั้น ไปเข้าเฝ้า เมื่ออยู่ต่อหน้า พระพักตร์ ของพระศาสดา ภิกษุชาวชนบททั้งหลายกราบทูลว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุรูปนี้มีการสะสมบริขารไว้มาก พระเจ้าข้า"

พระศาสดาจึงตรัสถามขึ้นว่า
"ดูก่อนภิกษุ เธอสะสมบริขารเอาไว้มากจริงหรือ"

"จริงพระเจ้าข้า"

"ก็แล้วเพราะเหตุไรเล่า เธอจึงเป็นผู้มีบริขารมาก ทั้งที่เราได้กล่าวคุณของความเป็น ผู้มักน้อย สันโดษ อยู่สงัด ปรารภความเพียร มิใช่หรือ"

ภิกษุรูปนั้นได้ฟังคำของพระศาสดาแล้วก็ไม่พอใจ คิดโกรธอยู่ในใจว่า

"เอาล่ะ เมื่อตำหนิเราอย่างนี้ เราก็จะไปที่อื่นเสีย"

จึงทิ้งผ้าสังฆาฏิลงกับพื้น เหลือแต่จีวรผืนเดียว ลุกขึ้นยืนในที่ท่ามกลางสงฆ์ทันที ขณะนั้น… พระศาสดา ทรงรู้วาระจิตไม่ชอบใจของภิกษุนั้น จึงตรัสช่วยเหลือเตือนสติขึ้นว่า

"ดูก่อนภิกษุ แม้ในกาลก่อนเมื่อเธอเป็นผีเสื้อน้ำผู้แสวงหาหิริ (ความละอายต่อการทำบาป) และ โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อการทำบาป) เธอแสวงหาอยู่ถึง ๑๒ ปีจึงพบ บัดนี้เธอมาบวช ในธรรมวินัย อันเป็นที่เคารพอย่างนี้ ไฉนจะละทิ้ง ผ้าสังฆาฏิเสีย ในท่ามกลางสงฆ์ ละทิ้ง หิริโอตตัปปะ ลุกขึ้นยืนเช่นนี้เล่า"

พระดำรัสของพระศาสดาทำให้ภิกษุนั้นได้สติ เกิดหิริโอตตัปปะกลับ ตั้งขึ้นได้ใหม่ จึงถวายบังคม พระศาสดา แล้วนั่งลงตามเดิม ส่วนภิกษุอื่นๆ ทูลอ้อนวอน พระศาสดา ให้ทรงเล่าเรื่องนั้น พระองค์จึงตรัสให้ฟังว่า…


       ในอดีตกาล มีพระราชาพระองค์หนึ่ง พระนามว่า พรหมทัต ครองราชย์อยู่นครพาราณสี ในแคว้นกาสี

เมื่อพระอัครมเหสีประสูติพระโอรส พระญาติทั้งหลายได้ตั้งพระนามว่า มหิสสาสกุมาร ครั้นเติบโตเจริญวัย จนทรงวิ่งเล่นได้ พระโอรสองค์ที่สอง ก็ประสูติตามมา มีพระนามว่า จันทกุมาร แต่เมื่อพระจันทกุมารโตขึ้น ถึงวัยวิ่งเล่นได้แล้ว พระมารดาก็สวรรคต พระเจ้าพรหมทัต จึงทรงแต่งตั้งพระสนมอื่น เป็นอัครมเหสีแทน

พระอัครมเหสีองค์ใหม่เป็นที่รักที่โปรดปรานของพระราชามาก กระทั่งต่อพระอัครมเหสี ทรงประสูติพระโอรส มีพระนามว่า สุริยกุมาร สร้างความมีพระทัยยินดี แก่พระราชายิ่งนัก ถึงกับตรัสว่า

"นางผู้เจริญ เราให้พรแก่บุตรของเธอเอาไว้ ว่าจะขอสิ่งใดก็ได้ เราจะให้ตามนั้น"

พระเทวีทรงเก็บพรนั้นเอาไว้ หมายจะใช้ในเวลาที่ต้องการ กาลเวลายาวนานผ่านไป… พระนางทรงรอ จนพระโอรสเติบใหญ่แล้ว จึงกราบทูลพระราชา

"ข้าแต่สมมุติเทพ คราวที่พระโอรสของหม่อมฉันประสูติ พระองค์ทรงประทานพรไว้ บัดนี้ขอพระองค์ จงประทานราชสมบัติ แก่โอรสของหม่อมฉันเถิด"

พระราชาถึงกับตกพระทัย ด้วยความคาดไม่ถึง ทรงห้ามว่า
"พระโอรสอีกสองพระองค์ของเรา ยังสว่างไสวรุ่งเรืองอยู่ดังแสงเพลิง เราจะมอบ ราชสมบัติ แก่โอรสของเธอได้อย่างไรกัน"

แต่พระนางทรงไม่ยอม เฝ้ารบเร้าอ้อนวอนอยู่บ่อยๆ ทำให้พระราชาทรงดำริว่า

"พระนางอาจคิดร้ายเกิดขึ้น กระทำชั่วหยาบแก่โอรสทั้งสองของเราก็เป็นได้"

จึงรีบสั่งเรียกเฉพาะพระโอรสทั้งสองมา แล้วตรัสว่า
"ลูกรักทั้งสอง คราวที่น้องสุริยะของพวกเจ้าประสูติ พ่อได้ให้พรแก่พระเทวีไว้ บัดนี้พระเทวี ทูลขอราชสมบัติ แก่น้องของพวกเจ้า แม้พ่อไม่ประสงค์จะยกให้ แต่ธรรมดาของหญิง ผู้ริษยานั้น อาจคิดหยาบช้าแก่พวกเจ้าได้ ฉะนั้น เจ้าทั้งสองจงหลบ ออกจากพระนคร แล้วเข้าไปอาศัย ในป่าก่อน ต่อเมื่อพ่อสวรรคตไปแล้ว เจ้าค่อยกลับมา ครองราชสมบัติเถิด"

ตรัสแล้วก็ทรงกันแสง คร่ำครวญ โอบกอดพระโอรสทั้งสองไว้ แล้วทรงส่งตัวท ั้งสองออกไป

ขณะนั้นเอง…สุริยกุมารประทับอยู่ที่ลานหลวงได้เห็นเหตุการณ์เข้าพอดี เมื่อพระโอรส ผู้พี่ทั้งสอง ถวายบังคมพระราชบิดา แล้วลงไปจากปราสาท จึงคิดว่า
"แม้เราก็จะไปกับเจ้าพี่ ทั้งสองด้วย เพราะเราไม่ปรารถนาจะครองราชสมบัติ"

ดังนั้น ได้ขอติดตามไปด้วย พระโอรสทั้งสาม จึงพากันเสด็จเข้าไป สู่ป่าหิมพานต์ กระทั่ง ถึงที่พัก ใกล้ริมสระน้ำแห่งหนึ่ง มหิสสาสกุมาร แวะประทับนั่ง ที่โคนไม้ เรียกสุริยกุมาร เข้ามากล่าวว่า

"น้องสุริยะ เจ้าจงไปที่สระน้ำนั้น เมื่อดื่มน้ำแล้วจงเอาใบบัวห่อน้ำมาให้เราทั้งสองด้วย"

ก็สระน้ำนั้นเอง… เป็นสระที่มียักษ์ผีเสื้อน้ำตนหนึ่งอาศัยอยู่ยักษ์นี้ ได้พรจากท้าวเวสวัณ
(จอมยักษ์ที่ปกครอง ทางทิศเหนือ) ประทานให้ว่า
"เจ้าจะจับมนุษย์กินได้ทุกคน ที่ลงสระน้ำนี้ ยกเว้นคนที่รู้เทวธรรม (ธรรมะของเทวดา) เจ้าห้ามกิน เด็ดขาด"
ตั้งแต่ได้พรมา ๑๒ ปีแล้วที่ยักษ์ผีเสื้อน้ำตนนี้ถามเทวธรรม กับคนที่ลงสระ และกินคน ที่ไม่รู้จัก เทวธรรมทุกคน

ครั้นสุริยกุมารไปถึงสระน้ำนั้น ไม่ได้พิจารณาอะไรนัก พอเห็นน้ำใสสะอาด ก็อยากลงน้ำเล่น ให้เย็นสบาย จึงก้าวลงไปในสระ… ทันทีทันใดนั้น ยักษ์ก็ตรงเข้าจับสุริยกุมารเอาไว้ แล้วถามว่า
"เจ้ารู้จักเทวธรรมหรือไม่"

สุริยกุมารก็ตกใจกลัว แต่พอได้สติก็ตอบว่า
"รู้สิ! พระจันทร์และพระอาทิตย์ชื่อว่า เทวธรรม"

ยักษ์นึกขำชอบใจพร้อมกับหัวเราะ
"ฮ่า…ฮ่า…เจ้าไม่รู้จักเทวธรรมเลย"

แล้วจับตัวสุริยกุมาร ดำน้ำลงไป ขังไว้ในที่อยู่ของตน ฝ่ายมหิสสาสกุมาร ไม่เห็นน้อง กลับมา สักที จึงส่งจันทกุมารไปอีกคน แต่ก็โดนยักษ์จับตัวไว้อีก ถูกถามว่า

"เจ้ารู้จักเทวธรรมไหม"

"ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ทิศทั้ง ๔ นั่นแหละ คือเทวธรรม"

"ฮ่า…ฮ่า…ลาภปากของเราจริงหนอวันนี้ เจ้าไม่รู้จักเทวธรรมสักหน่อย"
แล้วก็เอาตัว จันทกุมาร ไปขังไว้อีกคน

เมื่อมหิสสาสกุมารเห็นว่าน้องทั้งสองหายไปนาน จึงฉุกใจคิดขึ้นมา
"อันตรายอาจเกิดขึ้นแก่น้องของเรา"

จึงเสด็จไปที่สระน้ำนั้น แล้วพิจารณาตรวจตราดูสถานที่ เห็นมีแต่รอยเท้าลงน้ำ ของพระอนุชา ทั้งสอง แต่ไม่มีรอยเท้าขึ้นจากน้ำเลย จึงดำริว่า
"สระนี้คงเป็นสระที่มีอันตรายแฝงเร้นอยู่เป็นแน่"

ทรงชักพระขรรค์ออกมาทันที พร้อมกับอีกมือ ถือธนูยืนสังเกตอยู่ ฝ่ายผีเสื้อน้ำ แอบดูอยู่ เห็นพระกุมาร ไม่ยอมลงในน้ำ จึงแปลงตัวเป็นชาวบ้านป่า เดินลัดเลาะมาตามริมสระ แล้วทำที ทักทายพระกุมารว่า

"ท่านผู้เจริญ ท่านคงเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย กว่าจะถึงที่นี้ ก็แล้วเหตุใดเล่า จึงไม่ลงสระน้ำ ใสสะอาด ทั้งอาบทั้งดื่ม ทั้งกินเหง้าบัว ให้เป็นที่สุขสำราญใจ"

แต่มหิสสาสกุมารทรงไม่ไว้วางใจ ในชาวบ้านป่านี้ จึงเอ่ยออกไปว่า
"ท่านจับตัวน้องชายของเราไปใช่หรือไม่"

ยักษ์เห็นว่าคงหลอกลวง ไม่สำเร็จแน่ จึงตอบรับตามจริงว่า
"ข้าเป็นยักษ์ ข้าจับไปเอง"

"ก็แล้วเพราะสาเหตุใดกัน"

"เราย่อมมีสิทธิ์จับมนุษย์ทุกคน ที่ลงสู่สระน้ำนี้เอาไว้กิน"

พระกุมารทรงหาทางแก้ไขเหตุการณ์ รีบตรัสถามว่า
"โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ เลยหรือ"

ยักษ์หัวร่อภาคภูมิใจ แล้วบอกข้อแม้ออกไป
"ยกเว้นคนที่รู้จักเทวธรรมเท่านั้น"

พระกุมารรู้สึกดีพระทัยขึ้นมาทันที ตรัสถามอีกว่า
"ท่านมีความต้องการเทวธรรมหรือ"

"ใช่แล้ว เรามีความต้องการ"

"เมื่อเป็นอย่างนั้น เราจะบอกเทวธรรมแก่ท่าน"

"เจ้าจงบอกมาได้เลย เราจะฟังเทวธรรมของเจ้า"

แล้วพระกุมารก็ทำท่าชะงักเอาไว้ กล่าวว่า
"แต่ตอนนี้เรามีเนื้อตัวสกปรกอยู่"

ยักษ์จึงยอมให้พระกุมารลงไปอาบน้ำในสระ ให้ดื่มน้ำ ปูลาดที่นั่งไว้ให้ แล้วพระกุมาร ก็ประทับนั่งที่นั้น โดยมียักษ์นั่งอยู่ที่พื้นดิน คอยฟังอยู่ พระกุมารจึงตรัสว่า

"ท่านจงเงี่ยโสตฟังเทวธรรมโดยเคารพเถิด สัปบุรุษ (คนที่มีสัมมาทิฐิ) ผู้สงบระงับ ย่อมประกอบ ด้วยหิริ (ความละอายต่อการทำบาป) และโอตตัปปะ (ความเกรงกลัว ต่อการทำบาป) ตั้งมั่นอยู่ ในธรรมะอันขาว ซึ่งเรียกว่า ผู้มีธรรมะ ของเทวดา ผู้มีจิตใจสูงในโลก"

ครั้นผีเสื้อน้ำได้ฟังเทวธรรมแล้ว ก็บังเกิดความเลื่อมใส จึงกล่าวกับมหิสสาสกุมารว่า
"ดูก่อนบัณฑิต เราศรัทธาท่าน ฉะนั้น เราจะให้น้องชายคนหนึ่งคืนแก่ท่าน แต่ท่านจะได้ไป เพียงคนเดียวเท่านั้น"

พระกุมารตัดสินใจกล่าวออกไปว่า
"ถ้าอย่างนั้น ท่านจงนำน้องชายคนเล็กของเรามา"

ยักษ์ทำท่าขึงขังขึ้นมาทันที พูดเสียงดังว่า
"ท่านรู้แต่เปลือกของเทวธรรมเท่านั้น แต่ไม่ได้ประพฤติในเทวธรรมนั้นเลย"

พระกุมารสงสัย ตรัสถามว่า
"เพราะเหตุใดท่านจึงกล่าวอย่างนั้น"

"เพราะการที่ท่านละเว้นพี่ชาย แต่ให้นำน้องชายมา นี้ชื่อว่า ไม่กระทำความอ่อนน้อม ต่อผู้ที่เจริญที่สุด"

พระกุมารเข้าใจในทันที จึงแจ้งสาเหตุแก่ยักษ์
"ดูก่อนยักษ์ เรารู้เทวธรรมดีทีเดียว และปฏิบัติในเทวธรรมนั้นอีกด้วย เพราะการที่เรา ต้องเข้าป่าครั้งนี้ สาเหตุก็มาจากน้องชายคนเล็กนี้เอง ด้วยพระมารดา ของน้องเล็กคนนี้ ทูลขอราชสมบัติ กับพระบิดา ของพวกเรา ฉะนั้นเพื่อประโยชน์แก่น้องเล็ก พระบิดา จึงทรงให้พวกเรา มาอยู่ป่าสักพักหนึ่ง แต่น้องเราคนนี้ ได้ติดตามพวกเรามาด้วย ฉะนั้น หากแม้ถึงเวลา ที่พวกเรากลับคืนพระนคร แล้วบอกว่ายักษ์ในป่า กินน้องของเราเสียแล้ว ใครๆ คงไม่เชื่อแน่ ด้วยเหตุผลนี้ เราเกรงกลัวภัยคือ ความโกรธแค้น และการครหา จึงต้องให้ท่าน นำน้องชาย คนเล็กนั้นมา"

ยักษ์ฟังเหตุผลแล้ว ยิ่งมีจิตเลื่อมใส จึงยกมือประนมสาธุการ แก่พระกุมาร แล้วกลับไปเอา น้องชาย ทั้งสองคนมาคืนให้ พระมหิสสาสกุมาร จึงตรัสอบรมยักษ์นั้น

"สหายเอ๋ย ท่านเกิดเป็นยักษ์ที่อาศัยเลือดเนื้อของผู้อื่นเป็นอาหาร ก็เพราะบาปกรรม ที่ตนทำไว้ ในชาติกาลก่อน บัดนี้ท่านยังจะกระทำบาปนั้น ซ้ำเติมอีกหรือ แล้วบาปเวรเหล่านี้ ก็จะพา ให้จมอยู่ในนรก เพราะฉะนั้น ตั้งแต่นี้ไป ท่านจงละบาปชั่ว แล้วกระทำแต่บุญกุศลเถิด"

พระกุมารใช้ธรรมะทรมานยักษ์ แม้ยักษ์ก็บังเกิดศรัทธา อย่างล้นเหลือ จัดแจงดูแล อารักขาเหล่าพระกุมารอยู่ ณ ที่นั้นเอง

อยู่มาวันหนึ่ง…ได้รับข่าวว่า พระชนกสวรรคตแล้ว พระกุมารทั้งหมด กับยักษ์ผีเสื้อน้ำ จึงพากันไป สู่นครพาราณสี แล้วพระมหิสสาสกุมาร ก็ได้รับแต่งตั้งให้ครองราชสมบัติ พระองค์ทรงประทาน ตำแหน่งอุปราช แก่พระจันทกุมาร และตำแหน่งเสนาบดี แก่สุริยกุมาร ทรงสร้างที่อยู่ อันน่ารื่นรมย์ให้แก่ยักษ์ มีทั้งดอกไม้ของหอมอันเลิศ ผลไม้อันเลิศ และ อาหารอันเลิศ

นับแต่นั้นมา พระเจ้ามหิสสาสะ ก็ทรงครองราชย์โดยธรรมตลอดมา


พระศาสดาทรงจบพระธรรมเทศนานี้แล้ว ตรัสเฉลยว่า
"ยักษ์ผีเสื้อน้ำในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุผู้มีบริขารมากในบัดนี้ สุริยกุมารได้มาเป็นพระอานนท์ จันทกุมาร ได้มาเป็นพระสารีบุตร ส่วนมหิสสาสกุมาร ได้มาเป็นเราตถาคตเอง"

แล้วพระศาสดา ทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย ในเวลาที่จบสัจจะนั้นเอง ภิกษุรูปนั้น ก็ได้ดำรงอยู่ ในโสดาปัตติผลแล้ว

                 

 

(พระไตรปิฎกเล่ม ๒๗ ข้อ ๖ อรรถกถาแปล เล่ม ๕๕ หน้า ๒๐๑)

 

              ขอบคุณภาพประกอบจาก

บทกวีแด่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ในวาระเปิดพรรคการเมืองใหม่

23 ม.ค.

๙ ที่กล้าของ ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’
       
                       — ๑ —
       หน้ากลมกลม ร่างก็กลม สูงสมส่วน
       ดูไม่ผอม ไม่อ้วน แต่เอิบอิ่ม
       ผิวขาวขาว สมค่าคน “แซ่ลิ้ม”
       แย้มและยิ้มยามใครได้พบพาน
       ยุรยาตรย่างก้าวดุจเจ้าพยัคฆ์
       หยัดยืนท้าสง่าศักดิ์ดั่งคชสาร
       เพ่งมองเรื่องราวรุดดุจเหยี่ยวทะยาน
       ล้วงลึกข่าวฉาวฉานดั่งหนอนไช
       เคี่ยวตำราประวัติศาสตร์มาสูงส่ง
       แต่ทะนงเดินขึ้นหอคอยได้
       จึงเลือกสื่อสานฝันอันอำไพ
       ทุ่มกายใจให้สังคมอุดมการณ์
       
                  
 — ๒ —
       
เมื่อเชี่ยวสื่อจึงคิดสร้างสำนักสื่อ
       จนร่ำลือเรื่องราวให้เล่าขาน
       ในเชิงรุกปลุกปั้นชั้นเชิงชาญ
       สร้างตำนานสื่อมวลชนนำประชา
       จาก “ประชาธิปไตย” ได้สืบสาน
       สู่อาณาจักร “ผู้จัดการ” แกร่งกล้า
       ยึดอุดมการณ์มั่นเทิดจรรยา
       จึงเป็นตักกะศิลาร่ำลือไกล
       ในยุคโลกาภิวัตน์ จัดจ้าน
       ก็ก้าวผ่านสานสื่อได้สมสมัย
       เติมโลกไซเบอร์ล้ำนำเจียระไน
       ยิ่งใหญ่ในนาม “เอเอสทีวี”
       
                   
 — ๓ —
       
คือ “ลูกจีนรักชาติ” ประกาศชัด
       เทิดศาสน์-กษัตริย์ เหนือเกศี
       “ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง” เปล่งวจี
       ประกาศทั่วธรณีพร้อมพลีชีวิต
       ผู้จุด “เทียนแห่งธรรม” นำประชา
       เทียนต่อเทียนจรัสจ้าทุกดวงจิต
       ก้อง “เพลงเทียนแห่งธรรม” ทุกสารทิศ
       หลอมชนร่วมภารกิจกู้บ้านเมือง
       ผู้ก่อเกิด “ปรากฏการณ์สนธิ”
       ปัญญาผลิดอกผลจนลือเลื่อง
       ปลุกผู้คนลุกขึ้นสู้อยู่นองเนือง
       ต่อเนื่องเป็น “พันธมิตรฯ” พิชิตมาร
       
                      
— ๔ —
       คือ “พ่อหมอ” ดูมากมนต์เป็นคนขลัง
       แท้มากคลังความรู้ลึกผนึกผสาน
       ใช้ความจริงจับเค้าลางร่างเหตุการณ์
       ทำนายทายทักทานสะท้านสะเทือน
       จาก “เมืองไทยรายสัปดาห์” กล้าชี้แนะ
       ยก “ลูกแกะหลงทาง” ถูกสร้างเงื่อน
       รุมสะกำระห่ำบ้าและบิดเบือน
       อย่างป่าเถื่อนถ่อยสถุลสุดรุนแรง
       ต้อง “สัญจร” ร่อนเร่ระเหระหก
       เหนือออกตกกลางใต้หลายหล้าแหล่ง
       อาศัยสวน “ลุมพินี” ที่สำแดง
       อาสัยแสง “ธรรมศาสตร์” สาดส่องทาง
       
                   
— ๕ —
       “ต้องแพ้เสียก่อนจึงจะชนะ”
       คืออมตะวาทะที่อิงอ้าง
       หนังสืออัตชีวประวัติวาง
       แนวถากถางสร้างสังคมอุดมชัย
       เคยต่อกรเผด็จการทหารกล้า
       จึ่งพฤษภาทมิฬไม่เกรียมไหม้
       แต่ตัวตนต้องหลบลี้ต้องหนีภัย
       นำทุกสิ่งสะสมไว้ใช้เดิมพัน
       และเคยถูกถล่มด้วยคมอาวุธ
       จากเหล่าสารเลวสุดร่วมลงขัน
       ดีที่ธรรมยังค้ำคุ้มคนครองธรรม์
       แค่สาหัส ใช่สากรรจ์ขั้นตกตาย
       
                    
— ๖ —
       เมื่อโครตโกงโกงกินกันทั้งโครต
       สมุนโฉดก็ฉ้อฉลอย่างล้นหลาย
       ใครคัดค้านถูกฆ่าเข่นเช่นวัวควาย
       แถมยังขายชาติได้ง่ายดายนัก
       จึงเกิด “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ทุกถิ่นที่
       ลุกขึ้นป้องปฐพีเป็นที่ประจักษ์
       “กองทักธรรม” นำทัพร่วมพิทักษ์
       ธงธรรมชักนำประชาเข้าฝ่าฟัน
       “เอาประเทศไทยของเราคืนมา”
       กัมปนาทประกาศกล้าอย่างเต็มกั้น
       มหากาฬย์แห่งยุคอารยัน
       ไล่เผ่าพันธุ์พวกอนารยชน
       
                   
 — ๗ —
       
คือต้นเสียง “ท้า.า.า..ก..ษิณ ออกไป”
       นำขับไล่ทรราชอุบาทว์พ้น
       กระหึ่มดังทั้งแผ่นดินได้ยินยล
       แถมยังพ่นบนมือถืออื้ออึงไป
       “เราจะสู้เพื่อในหลวง” ของปวงราษฎร์
       นำทั้งชาติประกาศแจ้งแถลงไข
       ให้เสาหลักปักค้ำไทยให้คงไท
       คงมั่นไว้ชั่วลูกหลานอย่าร้างรา
       คือผู้นำถือธรรมกระทำชัด
       เป็นต้นแบบปฏิบัติอุบัติจ้า
       ดั่งที่เปรย “เงยหน้าไม่อายฟ้า”
       แลถึงครา “ก้มหน้าไม่อายดิน”
       
                   
— ๘ —
       ในท่ามกลางการเมืองเก่าที่เน่าเฟะ
       โกงกันเละกินกันเลอะเปอะไปสิ้น
       นักการเมืองทำเขื่องขู่อยู่อาจิณ
       ข้าราชการร่วมกังฉินอย่างยินยอม
       จึงเกิด “การเมืองใหม่” ไล่ของเก่า
       ล้างน้ำเน่าฉาวโฉ่ ให้โอ่หอม
       ผู้นำธรรมชำระคราบความจอมปลอม
       แล้วหลอมผู้ดีพร้อมเข้าสภาฯ
       “ซื่อสัตย์ เสียสละ กล้าหาญ ทำงานเป็น”
       คือคุณสมบัติเฟ้นคนเห็นค่า
       ยอมเปลื้องตนเปลืองตัวเกลือกกลั้วทา
       วาดหวังยกจิตวิญญาประชาไทย
       
                   
 — ๙ —
       จากนักประวัติศาสตร์สู่สร้างประวัติศาสตร์
       มุ่งหยุดมาร-การเมืองอุบาทว์บ้าเบื่อใบ้
       ตัดวงจร “สี่วินาทีประชาธิปไตย”
       ในนาม “พรรคการเมืองใหม่” ของมวลประชา
       จากเชื้อสายเจ้าของสื่อสู่สร้างสื่อ
       มุ่งมั่นถือ “ตะเกียงธรรม” ส่องนำหล้า
       จนร่ำลือคือ “โมกุล” หมุนโลกา
       ปั้น “ค่ายสื่อแห่งศรัทธามหาชน”
       จากเลือดทัพมังกรถิ่นสุโขทัย
       บ่มรู้ใต้ปีกอินทรีย์มิสับสน
       “ภูมิปัญญาตะวันออก” ตอกตรึงตน
       ตอกย้ำความเป็นคนของสังคม
       ————————————-
       ตอกตรึงใจไทยท้นท่วมแผ่นดิน
       ————————————-
       ตอกต่อท้นข้นเข้มเต็มแผ่นดิน
       
       
         ภู-ติ-รัก
       

              ๑๘ / ๑ / ๒๕๕๓



ศาสตร์แห่งการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(ตอนที่๓)

26 ธ.ค.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้หลุดพ้นออกจากคุก

   การบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นการยาก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงอุบัติเกิดขึ้นในโลก
เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุข ยังมนุษยชาติให้พ้นจากกองทุกข์
ไปสู่ฝั่งแห่งพระนิพพานอย่างแท้จริง
แต่เดิมพระองค์ก็เป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างพวกเรา
ไม่รู้จักเป้าหมายที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์
ดำเนินชีวิตด้วยความประมาท ทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง ปะปนคละเคล้ากันไป
แล้วก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพ 3 หรืออยู่ในคุก ดังที่เราได้ศึกษามาแล้ว
เป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก ไม่ทราบว่าชาติแรกเริ่มตรงไหน
และชาติสุดท้ายจะสิ้นสุดเมื่อใด ถูกความทุกข์จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ครอบงำเรื่อยมา

จนกระทั่งมีอยู่พระชาติหนึ่ง เกิดจิตสำนึกลึกๆ
ที่ได้สั่งสมประสบการณ์ ได้พบความทุกข์มานับภพนับชาติไม่ถ้วนบีบคั้น
ทำให้พระองค์เบื่อหน่ายต่อความทุกข์ มองหาหนทางที่จะออกจากทุกข์ให้ได้
และตั้งใจมั่นว่า เมื่อตนเองออกจากความทุกข์ หรือออกจากคุกในสังสารวัฏได้
จะต้องช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ไปด้วยให้ได้
นี่คือความปรารถนาเริ่มต้นของการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 
จากนั้นพระองค์ก็ลองผิดลองถูกหาวิธีการเพื่อการดับทุกข์เรื่อยมา
จนเริ่มพบวิธีการที่ถูกต้องมาตามลำดับ
และได้สร้างบารมีอย่างยิ่งยวดโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน สละเลือดเนื้อ อวัยวะ
ชีวิต ผ่านอุปสรรคนานัปการโดยไม่ย่อท้อ มายาวนานนับภพนับชาติไม่ถ้วน
เพื่อให้ได้มาซึ่งสัพพัญญุตญาณ อันเป็นความปรารถนาสูงสุด
เมื่อสั่งสมบารมีจนเต็มเปี่ยมแล้ว
ในที่สุดทรงค้นพบวิธีการดับทุกข์เป็นผลสำเร็จ
ได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้สมบูรณ์พร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เป็นผู้เลิศประเสร็จกว่ามนุษย์และเทวดาทั้งปวง
สามารถยกตนให้พ้นจากกองทุกข์ หลุดพ้นจากการถูกกักขังในภพ 3
ไปสู่ฝั่งแห่งพระนิพพาน อันเป็นดินแดนที่ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
เป็นดินแดนแห่งบรมสุขอันเป็นนิรันดร์

นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างจะนับจะประมาณมิได้
ที่พระองค์ได้นำความรู้ที่พระองค์ทรงค้นพบความจริง
มาชี้แนะให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้เห็นความจริงของชีวิตที่ตกเป็นบ่าวเป็นทาส
ของพญามาร ถูกกักขังวนเวียนอยู่ในภพทั้ง 3 อันเป็นคุกขังสรรพสัตว์
และยังทรงแนะแนวทางในการดับทุกข์ นำพา
สรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากการคุมขังในภพ 3
พ้นจากความทุกข์อันแสนทรมานในการดำเนินชีวิต อยู่ในสังสารวัฏ

ดังนั้น วิชาศาสตร์แห่งการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้
จึงถูกเรียบเรียงขึ้น ด้วยตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณ อันสุดประมาณนี้
โดยรวบรวมเนื้อหาที่เกี่ยวเนื่องกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหลายแง่มุม
มาร้อยเรียง เพื่อให้นักศึกษาได้ตระหนักถึงพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ
และพระมหากรุณาธิคุณอันไม่มีประมาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และได้เห็นเส้นทางการสร้างบารมีของพระสัมมาสัม

พุทธเจ้าได้อย่างชัดเจน เป็นขั้นเป็นตอนยิ่งขึ้น
เพื่อน้อมนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติตนเพื่อความหลุดพ้นจากกองทุกข์
ออกจากคุกขังสรรพสัตว์ มุ่งสู่ฝั่งแห่งพระนิพพานให้ได้

บทที่ 2 ธรรมชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

2.1 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใคร
2.1.1 คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก. ความยากในการพรรณนาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ข. ความหมายของคำว่า พระพุทธคุณ
ค. พุทธคุณ 9 ประการ
2.1.2 นิยามของคำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
2.2 การบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นการยาก
2.3 เหตุที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงอุบัติขึ้นพร้อมกัน
2.4 พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน
2.5 พุทธอุบัติ

2.5.1 หน่วยเวลา
2.5.2 กัปที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังเกิดขึ้น

2.6
ประเภทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
2.7 ความแตกต่างกันของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

—————————————————

แนวคิด
1. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นผู้มีใจประเสริฐสูงกว่ามนุษย์และเทวาทั้งหลาย ตลอดจนสูงกว่า
ทุกสิ่งในภพสาม เพราะเหตุที่พระองค์ทรงสร้างบารมีมาหลายภพหลายชาติ
เพื่อมุ่งทำตนให้หลุดพ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏ
และคิดที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นตามไปด้วย
ใจของพระพุทธองค์จึงเปี่ยมล้นด้วยมหากรุณามาตั้งแต่ครั้งเป็นพระบรม
โพธิสัตว์
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ปรากฏให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลกได้รับรู้รับทราบ
ในคุณความดีและคุณประโยชน์ของพระพุทธเจ้าที่มีอย่างมากมายเกินกว่าที่บุคคล
ใดจะพรรณนาได้หมด
และยังทำให้พระองค์ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สมบูรณ์ที่สุด
เพราะได้เข้าถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภายในกายของพระองค์

2.
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมายถึง
พระมหาบุรุษผู้ประกอบด้วยกายลักษณะมหาบุรุษอันมีพระธรรมกายซ้อนอยู่ภายใน
เป็นผู้ห่างไกลจากกิเลส ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เป็นครูของมนุษย์และเทวดา เป็นศาสดาเอกของโลก

3.
การเสด็จอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นสภาพที่เป็นไปได้โดยยาก
ซึ่งขึ้นอยู่กับว่า
การสร้างบารมีของแต่ละพระองค์ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
จะเต็มเปี่ยมบริบูรณ์เมื่อใด ซึ่งถ้าบารมียังไม่เต็มเปี่ยมบริบูรณ์
ก็จะต้องสร้างบารมีกันต่อไป
จนกว่าจะเต็มเปี่ยมและพร้อมที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อนั้นก็จะเสด็จอุบัติขึ้นบนมนุสสภูมิ
เพื่อมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วนำพระสัทธรรมมาสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ให้ได้รู้ความเป็นจริงของชีวิตอย่างที่พระองค์ได้รู้แล้ว

4.
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็คือ มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
ไม่ได้เป็นเทพเจ้าผู้วิเศษหรือเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์
และไม่ได้เป็นผู้สร้างสรรพชีวิตหรือสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก
แต่เป็นบุคคลที่ตั้งความปรารถนา

ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงได้สั่งสมบารมีอย่างมากมายหลายภพหลายชาติ
เพื่อค้นพบความจริงของสรรพสิ่งและสรรพชีวิตว่ามีความเป็นมาอย่างไร
เป็นอยู่อย่างไร และแตกสลายสิ้นลงอย่างไร การรู้ความจริงในสิ่งต่างๆ
ทำให้สามารถปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นได้ถูกต้อง
ทำให้เกิดประโยชน์อย่างมากมายต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย และเหตุนี้เอง
จึงทำให้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอุบัติในโลกอย่างมากมาย
ซึ่งไม่สามารถที่จะนับหรือจะประมาณได้เลย
ที่จะมาช่วยนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นออกจากวัฏสงสารนี้ไปพร้อมกัน

 

ความนำ 

   จากเนื้อหาในบทเรียนที่ผ่านมา จะเห็นว่า โลกใบนี้เปรียบเสมือนคุก
เพราะเป็นที่ขัง สรรพสัตว์ให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพ 3
อย่างไม่สามารถกำหนดนับเวลาได้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด
สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม
ตลอดจนสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก
ต่างต้องวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารนี้ ถ้าชาติใดสรรพสัตว์เหล่านั้นทำบุญกุศล
ก็จะไปเกิดในสุคติ ได้แก่ มนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม ตามกำลังแห่งบุญ
แต่ถ้าชาติใดพลาดพลั้งทำบาปอกุศล ก็จะต้องไปเกิดในทุคติ
ได้แก่สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก
จะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้หลายภพหลายชาติ
ในขณะที่สรรพสัตว์ทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิดอยู่นั้น
ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องประสบเจอกับความทุกข์
ทั้งที่เป็นทุกข์ประจำและทุกข์จร ดังนั้นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่
และเสื่อมสลายไปของโลก ทำให้แต่ละชีวิตต้องประสบกับความทุกข์ทรมานอย่างมาก
สิ่งเหล่านี้จึงถือว่าเป็นธรรมชาติของโลก
และธรรมชาติของสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างแท้จริง

    
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อครั้งที่ยังเป็นมนุษย์อย่างเช่นพวกเราทุกคน
ได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร ได้สั่งสมประสบการณ์
สั่งสมความทรงจำอันแสนทุกข์ทรมานมาอย่างยาวนาน เมื่อเกิดความทุกข์ ซ้ำแล้ว

ซ้ำเล่า ทำให้เกิดดวงปัญญาที่จะหาหนทางพ้นทุกข์ สั่งสมมาทีละเล็กละน้อย
จนเมื่อประสบเหตุการณ์สะดุดใจอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงพลันคิดได้ว่า "วัฏจักร
คือ ทะเลแห่งกองทุกข์"
เป็นคุกใหญ่ที่กักขังสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ทนทุกข์ทรมานอย่างมาก
ทำให้สรรพชีวิตต้องวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารแห่งนี้ ซึ่งยากที่จะพ้นไปได้
จึงได้คิดว่า วันหนึ่งเราจักทำลายวัฏสงสารนี้ออกไปให้ได้
จะออกไปให้พ้นจากทะเลแห่งทุกข์นี้
และถ้าวันใดที่ได้ออกไปจากวัฏสงสารนี้แล้ว จะไม่ไปเพียงลำพัง
แต่จะพาสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ร่วมทุกข์ออกไปด้วย

เพราะฉะนั้น
จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่กว่าจะหามนุษย์สักคนที่คิดเช่นนี้
หรือกว่าที่มนุษย์เช่นนี้จะเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้
จะต้องเป็นผู้ที่สั่งสมบ่มบารมีกันมากมายหลายภพหลายชาติ
จึงทำให้มีปัญญามากและมีจิตเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ดังนั้นพระพุทธองค์จึงเป็นบุคคลผู้ทรงคุณค่าอย่างมหาศาลสำหรับสรรพสัตว์ทั้ง
หลาย ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม หรือแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน
ซึ่งพระคุณของพระองค์มีมากมาย เกินกว่าที่จะพรรณนาได้หมดจนตลอดชีวิต

 
ในบทต่อไปจะกล่าวถึงธรรมชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยทั่วไป
ตั้งแต่ความหมายของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประเภทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ตลอดจนธรรมชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่จะมาตรัสรู้
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
แล้วนำมาเป็นแบบอย่างในการสร้างบารมีให้ได้เป็นเฉกเช่นอย่างที่พระองค์ที่
ได้ทำตามความปรารถนาที่ตั้งไว้จนสำเร็จ..(มีต่อ)