Archive | องค์กร RSS feed for this section

พุทธธรรมนำสุข : ธรรมะเพื่อความรุ่งเรือง

23 ก.ค.

ตักบาตรพระล้านครั้ง ไม่เท่ายื่นอาหารให้พ่อแม่
เพียงครั้งเดียว

ความ
ดีของลูก คือความสุขของพ่อ แม่ ความเลวของลูก คือความทุกข์ของพ่อแม่

หลง ผัว หลงเมีย จนลืมพ่อแม่ นับว่าแย่
มาก

อยาก
รวย ให้ทำงาน อยากสวยให้รักษาศีล อยาก ดี ให้หมั่นเจริญภาวนา

คน ฉลาด กำลังทำงาน ส่วนคนโง่
กำลังดูฤกษ์ยาม

หนึ่ง
วินาที คบบัณฑิต ดีกว่าหนึ่งปี คบคนพาล

อย่าประมาทเมื่อพบงาน ง่าย
อย่าท้อใจเมื่อพบงานยาก

ถ่อมตนคนรัก อวดนักคนชัง (อวดดี…ไม่ใช่การอวดที่ ดี)

เสริมเสน่ห์ตนเองด้วยรอย ยิ้ม
ดีกว่าคอยพึ่งพิงสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์

ไม่ควรไว้ใจในคนที่ชอบทำ บาป
(ถ้าทำบาปแลกบุญ จะขาดทุนร่ำไป)

คนจนยิ่ง จน เพราะทำรวย คนรวยยิ่งรวย
เพราะทำ จน

เรา
ยอมแพ้คน เพื่อเอาชนะกิเลส ดีกว่ายอมแพ้ กิเลส เพื่อเอาชนะคน

ยามไปซื้อ ของ อย่าอวดเงินทองให้ใครเห็น

คำสรรเสริญควรให้ไป คำติ ชม
ควรเก็บไว้เพื่อส่องตน

ระวัง อย่าให้สูญเสียคนดี เพราะคนชั่วแทนที่ไม่ ได้

คนโง่ แสวงหาพระเครื่อง ผู้ฉลาด
แสวงหาพระ ธรรม

ทำ
แบบ เจ็ก จากเล็กไปใหญ่ ทำแบบไทย จากใหญ่ไปหาเล็ก


มารยาทงามนี่แหละ จะพลอยทำให้วาสนา ดี

เพื่อนบ้านที่อยู่ ใกล้
ดีกว่าพี่น้องในไส้ที่อยู่ไกล

ประดับกายด้วยความดี มีราศีกว่าประดับ
เพชร

กิน
เหล้าเพื่อเข้า สังคม คือค่านิยมที่ผิด

ความร่ำรวยหากขอกัน ได้
โลกนี้ก็คงจะไม่มีคนจน

ทรัพย์เกิดไม่ได้ ด้วยเพียงแต่ใจคิด ฝัน

ตัวอย่างที่ดี มีค่ามากกว่าคำ สอน
การปฏิบัติดีมีค่ามากกว่าการขอพร

คนขยันคือคนโชค ดี
ความขยันจึงเป็นพรอันประเสริฐ

ถึงแม้การเลือกเกิดเราจะไม่มี สิทธิ์
แต่การเลือกทางชีวิตเป็นสิทธิ์ของ เรา

แสวงหาลาภจากการ งาน ดีกว่าบนบานบวงสรวง

อย่าเชื่อคนโดยไร้คิด
อย่าหลงมิตรเพียงคำยอ

ที่ทำดีไม่ได้ ดี เพราะทำดียังไม่มากพอ (ทำดีวันละนิด
ดีกว่าคิดว่าจะทำ)

เมื่อมีคำขอโทษ ความโกรธย่อมจางเร็ว

วาจาอ่อนหวานลูกหลานใกล้ชิด
วาจาเป็นพิษญาติมิตรห่างไกล

กินเพื่ออิ่ม ก็จะมีปัญหา น้อย
แต่ถ้ากินเพื่ออร่อยก็จะมีปัญหามาก

ขอบคุณกัลยาณมิตรที่แบ่งปัน

ขอบคุณพระครูบาอาจารย์ที่สอนสั่ง

ธรรมรักษาทุกท่าน

“มิรูโม่..มาเฟียแห่งความดี

12 มี.ค.

 

     ณ ชุมชนที่เงียบสงบ ต. อินทร์บุรี จ. สิงห์บุรี

มีกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักของ คนในหมู่บ้านเป็นอย่างดี

ที่สำคัญว่ากันว่า หัวหน้าของกลุ่ม – แก๊งนี้มีอายุเพียงแค่ 13

ปีแต่ กลับมีลูกสมุนคอยหนุนหลังถึง 10 กว่าคน

โดยสมุนตัวเปี๊ยกสุดจะถูกเรียก ขานว่า "เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม"

 

กิจวัตรของสมาชิกในแก๊ง

สร้าง ความฮือฮาให้แก่บรรดาผู้ใหญ่ในชุมชนเสมอแต่มิใช่การซิ่งมอเตอร์ไซค์

การชกต่อย หรือการเสพยา แต่เป็นภารกิจเพื่อสังคมง่ายๆ อย่าง การเก็บขยะ

ถาง หญ้า กวาดลานวัด ขัดห้องน้ำ เด็กๆ กลุ่มนี้เขาเรียกตัวเองว่า

      "มิรูโม่ …มาเฟียแห่งความดี"

 

มิรูโม่ : แก๊งนี้มีที่มา

 

" น้องตั้ม" ด.ช.สุรชัย จิตตั่ง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1

โรงเรียนศรีวินิตวิทยาคม หัวหน้าแก๊งมิรูโม่ บอกว่ามีสมาชิกทั้งหมด 14

ชีวิต ซึ่งสมาชิกในแก๊งล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนๆ

และลูกพี่ลูกน้องของน้องตั้ม ทั้งสิ้น

 

      แก๊งนี้เป็นที่รวมของสมาชิกวัยละอ่อน ตั้งแต่รุ่นดูดขวดนม 2 ขวบครึ่ง

ไปจนถึง 13 ปี ซึ่งที่มาในการก่อตั้งแก๊งนั้น

น้องตั้มรับสารภาพว่าพวก เขาได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์เรื่องอนุบาลเด็กโข่ง

 

" คือวัดนี้มีพระอยู่รูปเดียว ทุกวันผมก็จะเห็นหลวงตา (พระระพิน

กิตฺติโก เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทอง จ. สิงห์บุรี) กวาดลานวัดอยู่คนเดียว

แดดก็ร้อน ผมสงสารว่าท่านคงเหนื่อยมาก ผมเลยเข้าไปช่วย แล้วก็มีเพื่อนๆ

อีก หลายคนตามไปช่วยด้วย เราก็เลยปรึกษากันและตั้งแก๊งขึ้นมาครับ

คือความคิด ในการตั้งแก๊งเนี่ยเกิดมาจากการที่เราไปดูหนังเรื่องอนุบาลเด็กโข่งซึ่งเป็น เรื่องของเด็กอนุบาลที่รวมตัวกันตั้ง

แก๊งของตัวเองขึ้นมา

 

มันก็คล้ายๆ กับพวกเราเหมือนกัน

เพราะปกติ เราจะขี่จักรยานไปโรงเรียนพร้อมกันบางทีก็ชวนกันไปขี่จักรยานเล่น

แต่ใน หนังเขาเป็นแก๊งอันธพาล หัวหน้าแก๊งแต่ละแก๊งพยายามขยายอิทธิพล

มีการยก พวกตีกัน เหมือนพวกมาเฟีย

แต่แก๊งเราไม่ใช่แบบนั้นครับเราเป็นแก๊งที่รวมตัวกันทำความดี "

 

โดย ปกติตอนเย็นหลังเลิกเรียน พวกเราก็จะมาช่วยหลวงตากวาดลานวัดกันทุกวัน

เห็น ใบไม้มันรกน่ะครับ แล้วก็ช่วยเก็บขยะ ถางหญ้า ล้างห้องน้ำ

มันก็เหนื่อย เหมือนกัน

แต่เราทำไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ช่วยกันหลายๆ คนเดี๋ยวก็เสร็จ

นอกจาก นั้นตอนเช้าผมกับเพื่อนอีก 2

คนก็จะไปช่วยหลวงตาถือของตอนออกบิณฑบาต

เสร็จ แล้วถึงจะกลับมาอาบน้ำไปโรงเรียน

 

จริงๆ พวกเราก็ชอบเล่นสนุกกันนะครับแต่จะช่วยหลวงตาทำงานให้เสร็จแล้วค่อยไปเล่น

คือหลวงตาท่านใจดี ไปช่วยท่าน

ท่านก็ให้ขนมพวกเรากินทุกวันพ่อแม่เห็นพวก ผมไปช่วยหลวงตาที่วัดเขาก็บอกว่าดีแล้ว

ได้บุญ คุณครูที่โรงเรียนก็บอกว่าดีให้ทำต่อไปเรื่อยๆ

ผมก็ภูมิใจที่ได้ช่วยวัด ทำให้วัดไม่รก แล้วก็ได้บุญด้วย

ดีกว่าไปเล่นเกมตามร้านเน็ต เล่นแล้วก็ติด เสียการเรียน เปลืองเงินด้วย

 

หลวงตาระพิน กิตฺติโก เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทอง เมตตาให้ข้อมูลว่า

 

ทั้งวัดก็ มีอาตมาอยู่รูปเดียว อยู่ได้สักพักเด็กๆ

พวกนี้เขาก็มาช่วยทำความสะอาด วัด เขาบอกว่า สงสารหลวงตา (ยิ้ม)

ใบไม้มันร่วงเยอะ เช้าๆ อาตมาไปบิณฑบาตเด็กๆ

ก็จะมาช่วยมากันตั้งแต่ตี ห้าเลย เขาก็ขี่รถซาเล้งพาอาตมาไปที่ตลาด

พอถึงตลาดก็เดินบิณฑบาตไป เรื่อยๆ เด็กเขาก็ถือกระป๋องเดินตาม

เดินกันเป็นกิโลๆ เลย เขาก็สนุกกันตามประสาเด็กๆ กลับมาถึงวัด

อาหารที่เหลือจากอาตมา พิจารณาแล้วก็จะแจกจ่ายให้เด็กๆ ไป อาตมาว่าก็ดีนะ

เด็กๆ มาทำความดีกันช่วยพระช่วยวัด มันหายากนะสมัยนี้

 

 

อนุโมทนาขอบคุณข้อมูลจากัลยาณมิตร

ขอจงมีความสุข ความเจริญ ธรรมรักษา

 

อนาคตอยู่ในกำมือเราเอง

16 ก.ย.

เมื่อได้จากบ้านมาอยู่หอพักนักศึกษาที่ต่างจังหวัด ถึงแม้ทางเดิน
จะมีนักศึกษาพลุกพล่าน เสียงทีวี กีต้าร์ เสียงเพลง แว่วมาจากห้องพัก
แต่ก็ไม่ช่วยให้ความเหงา ความคิดถึงพ่อแม่ คลายลง

นคร รับจดหมายที่เพื่อนนักศึกษาหยิบจากตู้รับชั้นล่าง ขึ้นมาส่งต่อให้
ขอบคุณเพื่อน แล้วรีบไป เปิดอ่านในห้อง อย่างดีใจ

"นครลูกรัก จดหมายของลูกที่ส่งมาเมื่อหลายวันก่อนนั้น พ่ออ่านดูแล้ว
อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ พ่อรู้สึกว่า ลูกโตเป็นหนุ่ม แต่ร่างกายเท่านั้น
ส่วนจิตใจความนึกคิดนั้น ยังไม่เป็น ผู้ใหญ่เลย พ่อเกรงว่า
ค่านิยมที่จัดจ้านไปในเรื่องกาม จนเกินขอบเขต ของนักศึกษา ส่วนใหญ่นั้น
จะทำให้ลูก เห็นดีเห็นชอบไปด้วย ลูกต้องระวัง! พ่อเป็นห่วงจริงๆ

"พ่อยังจำได้ พระท่านเทศน์ว่า "เช้าวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าออกบิณฑบาต
นางจิญจมาณวิกา เห็นพระพุทธเจ้า แล้วคิดว่า เราเป็นลูกเศรษฐี
มีความสวยเป็นเลิศในแคว้นนี้ ชายผู้กำลัง บิณฑบาต
งามพร้อมไปทุกอย่างนี้แหละ ควรจะเป็น คู่ครองของเรา นางจิญจมาณวิกา
จึงเดินตรงเข้าไปหา พูดขึ้นว่า "ท่านผู้รูปงาม ขอท่านได้แต่งงาน
กับหม่อมฉันเถิด" พระพุทธเจ้า ตรัสว่า "อาตมาเป็นนักบวช ความใคร่ยินดี
ในเรื่องกามราคะนั้น หมดสิ้นแล้ว อย่าว่าแต่ จะให้ไป แต่งงาน กับเธอเลย
เธอเปรียบดั่งกองคูถ ในฤดูฝน แม้แต่ปลายเท้า ของอาตมา ก็ยังไม่อยาก
จะแตะเลย"

"นางจิญจมาณวิกาได้ฟังดังนั้น ความโกรธแค้นก็เข้าโถมทับจิตใจทันที

"นางจึงวางแผนร้าย โดยเข้าไปกราบพระพุทธเจ้าอยู่บ่อยๆ
แล้วนำเอาไม้วงกลม มาผูกไว้ที่ท้อง ประหนึ่งว่า มีท้องกับ พระพุทธเจ้า
กล่าวร้ายต่อสาธารณชน พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ‘เรื่องนี้ มีเธอกับเรา
สองคนเท่านั้นที่รู้กัน’ นางจิญจมาณวิกา ได้ฟังจึงรู้สึกบาดหัวใจ กระโดด
เต้นเร่าๆ ไปมา ไม้ที่ผูกเอาไว้ที่ท้อง จึงหลุดออกมา

"ตอนแรก นางจิญจมาณวิกา คิดนึกรักพระพุทธเจ้าสุดหัวใจ ครั้นผิดหวัง
กลับโกรธเกลียด เต็มหัวใจ จนคิดล้มล้าง ท่านเลย

"ค่านิยมของหญิงสาวในยุคนี้ได้แปรไป ฝ่ายหญิงมักไปจีบผู้ชายเอง
นับว่าผิดประเพณี อย่างร้ายแรง ที่เดิมทีฝ่ายชาย เป็นฝ่ายเสนอตัว
เมื่อฝ่ายหญิงไม่สนองตอบ ก็จะจบลงแค่นั้น แต่ในยุคที่ฝ่ายหญิง ไปหาผู้ชาย
ฝ่ายชายส่วนใหญ่ มักจะฉวยโอกาสทำลาย แล้วทิ้ง โดยไม่ไยดี

"ผู้หญิงจึงมักจะผิดหวังมากกว่าสมหวัง

 

"พ่อจึงอยากจะขอเตือนลูกเอาไว้ก่อน
เพราะเรื่องกามตัณหาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย มันมีพลัง ร้อนแรง ยิ่งกว่าไฟ
แม้แต่หมู่สัตว์ เดรัจฉาน เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ เช่นพวกวัวควาย ถึงกับลืม
กินหญ้า วิ่งตามกันเป็นฝูงทั้งวัน เพื่อหาจังหวะ ชิงผสมพันธุ์

"ลูกจงสำนึกอยู่เสมอว่า เราอยู่ในวัยเรียนเอาวิชาความรู้
ถึงแม้จะอยู่ในวัย เจริญพันธุ์ แต่ยัง ไม่พร้อม ที่จะเป็น ผู้นำครอบครัว
ยังไม่ฉลาดพอ ที่จะเป็นพ่อของลูก

"ที่พ่อยกเอาเรื่องนางจิญจมาณวิกามาเล่าให้ฟัง
ก็เพื่อให้ลูกได้คิดถึงผลร้าย ที่จะตามมา ในภายหลัง แค่เพียงถ้อยคำ
ที่ไม่สบอารมณ์ ก็สามารถแปรเปลี่ยนความรัก เป็นความชิงชังได้ นับประสาอะไร
กับการที่ลูก หรือหนุ่มคนอื่น ได้ไปล่วงเกิน ทำลายหญิงสาว ที่มาหลงรัก
จนย่อยยับ แล้วไม่รับผิดชอบอะไร ผู้หญิงคนนั้น จะไม่โกรธแค้น อาฆาต
ไปจนตาย มันเป็น บาปกรรม ที่น่ากลัวจริงๆ

"พ่อได้ฟังชาวบ้านเล่าว่า ส่งลูกไปเรียนที่กรุงเทพฯ หกปีแล้ว
แต่ก็ยังเรียนไม่จบ ส่งเงินไปให้ ไม่ต่ำกว่าเดือนละ ห้าพันบาท
หากเอาเงินส่วนนี้ มาซื้อที่ทำนา คงจะได้ที่ดิน ถึงสิบกว่าไร่ อีกคนหนึ่ง
บ่นให้พ่อฟังว่า ทุกวันนี้ แทบจะไปไหนไม่ได้ เพราะลูกชาย
เรียนอยู่ที่วิทยาลัย ส่งหลานมาให้เลี้ยง

"ฉะนั้นลูกต้องตั้งใจเรียนให้จบ เพราะลูกยังโชคดีกว่าอีกหลายๆ
คนในหมู่บ้าน ที่ไม่มีโอกาส ได้เรียนต่อ อนาคตนั้น อยู่ในกำมือของลูกเอง
หากไปติดยา ผลที่ได้รับ คือเข้าไปอยู่ในคุก หรือสมองเสื่อม
เป็นบ้าไปตามฤทธิ์ของยา หากลูก ชอบเที่ยวสำส่อน ลูกก็จะติดโรคเอดส์
ตายจากไปก่อนวัยอันควร

"หรือมิฉะนั้น
ก็พลาดพลั้งอุ้มลูกมาให้พ่อแม่เลี้ยงก่อนเรียนจบ รอเป็นผู้ใหญ่
มีความรับผิดชอบ เพียงพอ เสียก่อน ค่อยคิดเรื่อง มีครอบครัวได้ ขอย้ำ !
อย่าทำให้พ่อแม่ผิดหวังเป็นอันขาด"

นครอ่านจดหมายของพ่อจบลง
แล้วนั่งนิ่งสูดหายใจยาว คิดสรุปเนื้อหา ข้อความของพ่อ ที่เขียนส่งมา
การพนัน พ่อไม่พูดถึง เรื่องยาเสพติด โรคเอดส์ พ่อพูดถึงเล็กน้อย
แต่เรื่อง ชิงสุกก่อนห่าม พ่อได้เน้นห้ามปราม มาชัดเจน

นครเข้าใจบทบาทของนักศึกษาว่า ต้องตั้งใจเรียน เรื่องความรัก
หยุดพักเอาไว้ก่อน ให้ชีวิต ดำเนินไป ตามลำดับขั้นตอน แล้วอะไรๆ
ก็จะดีไปแทบทุกอย่างจริงๆ เรื่องชู้สาวนั้น จะเป็นประตู ด่านแรก
ที่ล่อใจนักศึกษา ให้ก้าวออกไปสู่ค่านิยม ฟุ้งเฟ้อสารพัด ซึ่งเป็นต้นเหตุ
ของการใช้จ่าย ที่ฟุ่มเฟือย และยังส่งผล ให้ใจแตก นำพาให้ละทิ้งการเรียน
การเรียน ตกต่ำ เราเป็นนักศึกษา ไม่ใช่นักรัก ต้องทำหน้าที่เรียนให้จบ


นครย้ำเตือนตนอยู่ในใจ


 

ข้อมูลจากน.ส.พ.เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๔๗ ตุลาคม ๒๕๔๕)

คอลัมน์ฝุ่นฟ้า ฝากฝัน

ฟอด เทพสุรินทร์

.โพชฌงค์ ๗(ธรรมะที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้)

6 ส.ค.

๑.สติ (ความระลึกได้ ) เปรียบเหมือนจักรแก้ว
๒.ธัมมวิจยะ (ความเลือกเฟ้นธรรม) เปรียบเหมือนช้างแก้ว

๓.วิริยะ (ความพากเพียร)เปรียบเหมือนม้าแก้ว
๔.ปิติ (ความอิ่มใจ) เปรียบเหมือนแก้วมณี
๕.ปัสสัทธิ (ความสงบจากกิเลส)เปรียบเหมือนนางแก้ว
๖.สมาธิ (ความมีใจตั้งมั่น)เปรียบเหมือนคหบดีแก้ว

๗.อุเบกขา(ความมีใจเป็นกลางเพราะรู้เห็นตามเป็นจริง)เปรียบเหมือนปรินายกแก้ว

(พระไตรปิฎกเล่ม ๑๑ ข้อ ๘๑)


งานก่อสร้างกำแพงวัดป่าศรีอุบล(ป่าวังไฮ)

เชิญร่วมงานโรงบุญมังสวิรัติเฉลิมพระเกียรติ ๑๒ สิงหามหาราชินี

2 ส.ค.

อนุโมทนาภาพประกอบจากอินเทอร์เนต

       ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๒ ซึ่งเป็นวันแม่แห่งชาติ
เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์พระบรมราชินีนาถ
ซึ่งเป็นมิ่งขัวญของปวงชนชาวไทย
คนไทยทั่วประเทศได้บำเพ็ญกุศลเพื่อถวายเป็นราชสักการะแด่พระองค์ท่านผู้ทรง
คุณอันประเสริฐ ปีนี้ก็เช่นเคย
คณะผู้ปฏิบัติธรรมที่มีศรัทธาตามแนวปฏิบัติของ"วัดป่าศรีอุบล" (ป่าวังไฮ)ได้ร่วมมือร่วม ใจจัดโรงบุญมังสวิรัติ๑๒สิงหาเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งปีนี้เลื่อนมาจัดวันอาทิตย์ที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๒ ตรงกับวันแรม ๓ ค่ำ เดือน๙ สำหรับ
ปีนี้ทางคณะกรรมการโรงบุญไม่ได้จัดนอกวัดเหมือนทุกปีที่ผ่านเพื่อความสะดวก
แก่ผู้
ที่จะมาร่วมงานเพราะทุกปีที่ผ่านมาโรงบุญของเราเจอฝนทุกปีประกอบกับปีนี้
กำลังคนเราก็น้อยลงทางวัดและคณะกรรมการโรงบุญมีมติตกลงให้จัดกันที่วัดซึ่ง
ไม่ต้องเตรียมสถานที่มากนักไม่ต้องกางเต๊นท์เหมือนทำข้างนอกวัดสำหรับโยมที่
อยู่ใกล้ หรือไกลที่พร้อมหรือสะดวกมีเวลา
ต้องการจะมาร่วมบุญรับแจกอาหารก็มาได้ตั้งแต่วันเสาร์ที่
๘จะได้ช่วยกันเตรียมการเตรียมอาหาร และในตอนเย็นจะได้ร่วมกันสวดมนต์เจริญ ภาวนา ฟังธรรมเพื่อเพิ่มบุญกุศลให้เป็นกำไรของชีวิต

หลักการของโรงบุญมังสวิรัติ
๑.แจกอาหารมังสวิรัติ
๒.ผู้ให้ไหว้ผู้รับ
๓.ไม่มีการเรี่ยไรใดๆบริเวณโรงบุญ
๔.รับบริจาคเฉพาะพืชผักผลไม้

"การให้ ที่มีคุณค่ามากที่สุดและสำคัญที่สุดคือการให้ ชีวิต

แก่เพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย"


พระราชกรณียกิจสมเด็จแม่ของปวงชนชาวไทย

  • หลายสิบปีที่พระองค์ทรงใกล้ชิด
  • ทรงตามติดองค์ภูมินทร์ทุกถิ่นฐาน
  • ตามเสด็จช่วยพระองค์ยามทรงงาน
  • หลายโครงการที่พระองค์ทรงแบ่งเบา


  • หลายสิบปีที่พระองค์ทรงงานหนัก
  • มุ่งพิทักษ์สัตว์นานาป่าภูเขา
  • เพื่อสร้างป่าเหนี่ยววารีที่ซบเซา
  • คืนร่มเงาคืนสายน้ำเคยฉ่ำเย็น
  • หลายสิบปีที่พระองค์ทรงห่วงราษฎร์
  • เคยประพาสทั่วถิ่นไทยเคยได้เห็น
  • ความทุกข์ยากตรากตรำความลำเค็ญ
  • พระองค์เป็นราชินีจักรีวงศ์
  • หลายสิบปีสมเด็จแม่ทรงแก้ไข
  • ป่าน้อยใหญ่ฟื้นชีวิตน่าพิศวง
  • คืนชีวิตสัตว์นานากลับป่าดง
  • คือพระองค์พระแม่เจ้าของชาวไทย

  • หลายสิบปีที่พระองค์ทรงร่วมสร้าง
  • งานประดังยามนิราศไม่ขาดสาย
  • ทรงเคียงข้างทรงเคียงคู่ภูวไนย


  • น้ำพระทัยงามสง่าเหนือฟ้าดิน


  • ๑๒ สิงหามหาราชินี ขอพระองค์ทรงพระเจริญ


 สอบถามเพิ่มเติ่ม

วัดป่าศรีอุบล ต.หญ้าปล้อง อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ

โทร..045-613967

0847855570

Email wattanatum@hotmail.com

 

ชาดกทันยุค(อดีตชาติของพระพุทธเจ้า)..บารมีธรรม (ปลายิชาดก)

27 ก.ค.

สะสมสร้างเสริมทำดี
บารมีนับวันยิ่งใหญ่
มหาชนเชิดชูภูมิใจ
ไร้ใครอาจหาญต้านทาน

     พุทธกาลนั้นเอง มีปริพาชก
(นักบวชพวกหนึ่งในชมพูทวีปชอบสัญจรไปที่ต่างๆ เพื่อแสดงทรรศนะ ปรัชญา
ทางศาสนาของตน) ผู้หนึ่ง ปรารถนาแสดงภูมิปัญญาของตน
จึงท่องเที่ยวไปทั่วชมพูทวีป (ชื่อประเทศอินเดียในครั้งโบราณ)
เพื่อโต้วาทะ(การพูดโต้ตอบเอาชนะ) กับผู้รู้ทั้งหลาย แต่แล้ว
ก็ไม่มีใครมาโต้ตอบวาทะด้วยเลย ปริพาชกจึงรอนแรมมาจนถึงเมืองสาวัตถี
แล้วเที่ยว สอบถาม ชาวบ้านว่า

"ที่เมืองสาวัตถีนี้ ใครได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความรู้มากที่สุด
ผู้นั้นจึงจะสามารถโต้ตอบวาทะกับเราได้ มีบ้างไหมบุคคลเช่นนี้"

บรรดาผู้คนทั้งหลายต่างพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า
"พระ
พุทธองค์นั่นแหละ เป็นสัพพัญญู (ผู้รู้หมดทุกสิ่ง) เลิศกว่ามนุษย์ทั้งปวง
เป็นใหญ่ โดยธรรม ย่ำยีวาทะของผู้อื่นได้ สามารถจะโต้ตอบวาทะ กับปริพาชก
เช่นท่านได้ แม้ตั้งพันคน เพราะปราชญ์ทั้งหลาย ในชมพูทวีปนี้
ผู้ที่มีวาทะขัดแย้ง โค่นล้มพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ไม่มีแม้แต่คนเดียว
บรรดาวาทะขัดแย้งทั้งปวง เมื่อมาถึงพระองค์แล้ว ก็ถูกหักล้าง ทำลายไป
จนหมดสิ้น ดุจเกลียวคลื่น กระทบฝั่ง แล้วหายไป ฉะนั้น

"เอาเถอะ ! เดี๋ยวนี้พระองค์ประทับอยู่ที่ไหน"
"ที่พระเชตวันมหาวิหาร"
"ถ้าอย่างนั้น เราจะไปประวาทะกับพระองค์บัดนี้เลย"

ปริพาชกมุ่งสู่เชตวันมหาวิหารทันที
มีหมู่ชนที่ทราบเรื่องพากันติดตามไปดูแน่นขนัด เมื่อมาถึง
หน้าซุ้มประตูของเชตวันมหาวิหาร เป็นซุ้มประตูที่พระราชกุมาร พระนามว่า
เชตะ ทรงสละ ทรัพย์ เก้าโกฏิ (๙๐ ล้านบาท) สร้างขึ้นอย่างโอ่อ่า
โอฬารตระการตา ปริพาชกเพ่งดูแล้ว ก็หยุดชะงัก อยู่ที่ตรงนั้น
พร้อมกับถามไถ่ว่า "นี้คือปราสาทที่ประทับของพระสมณโคดมหรือ"

ผู้คนทั้งหลายช่วยตอบให้รู้ว่า "มิใช่ นี่เป็นเพียงซุ้มประตูเท่านั้น"

จากคำตอบนี้เอง ทำให้ปริพาชกถึงกับหวาดหวั่นขึ้นมาในใจทันที ด้วยความรู้สึกที่ว่า
"ซุ้มประตู ยังใหญ่โต ราวกับปราสาทถึงเพียงนี้ แล้วที่ประทับ จะเป็นเช่นไร"

ขณะนั้นเองมีชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า
"พระคันธกุฎี (พระกุฎีที่ประทับของพระพุทธเจ้า) นั้น ประมาณไม่ถูกเลยทีเดียว"

ปริพาชกถึงกับรุ่มร้อนภายใน เหงื่อกาฬแตกด้วยความขลาดกลัว แล้วโพล่งออกไปว่า
"ใครจะไปโต้ตอบวาทะกับพระสมณโคดม ที่มีบารมีถึงปานนี้ได้เล่า"

แล้วก็หลบหนีไปจากที่นั้น อย่างรวดเร็ว

หมู่ชนทั้งหลายจึงส่งเสียงอึงคะนึงขึ้นทันทีว่า "ปลายิปริพาชก (ปริพาชกหนีไปแล้ว)"
"ปริพาชกหนีไปแล้ว.."

แล้วผู้คนทั้งหมดก็พากันเข้าไปยังพระเชตวันมหาวิหาร
พระศาสดาทรงได้ยินเสียงดัง ทั้งแลเห็นผู้คนจำนวนมาก จึงตรัสถามว่า"
"นี้มิใช่เวลาฟังธรรม ทำไมจึงมีผู้คนมากันมากมายอย่างนี้หรือ"

หมู่ชนจึงกราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ พระศาสดาเข้าใจเรื่องแล้วได้ตรัสว่า
"ดู
ก่อนอุบาสกทั้งหลาย ปริพาชกนี้พอเห็นซุ้มประตูวิหารเท่านั้นก็หนีไป
มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ก็เคยหนีแล้วเหมือนกัน"

หมู่ชนได้ยินดังนั้น พากันทูลขอร้องให้ตรัสเล่า พระศาสดาจึงแสดงชาดกนั้นให้ฟัง


ในอดีตกาล มีพระราชาพระองค์หนึ่งเสวยราชสมบัติที่เมืองตักกสิลา ในแคว้นคันธาระ

ส่วนที่เมืองพาราณสี ในแคว้นกาสี มีพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์อยู่
พระองค์ทรงดำริ หมายครอบครอง เมืองตักกสิลา

เมื่อใกล้จะถึงเมืองตักกสิลา ได้หยุดทัพตั้งมั่นอยู่ เพื่อวางแผนการรบ
ที่จะเข้าโจมตีเมือง ได้รับสั่งกับไพร่พลทั้งหลาย ก่อนที่จะยกทัพบุกว่า

"เมืองตักกสิลาจะถูกล้อมไว้ทุกด้าน
ด้วยกองทัพช้างซึ่งร้องคำรนอยู่ด้านหนึ่ง ด้วยกองทัพม้า อีกด้านหนึ่ง
ด้วยกองทัพรถ บุกตะลุยด้านหนึ่ง ด้วยกองทัพเดินเท้า ที่แม่นธนูด้านหนึ่ง
ท่านทั้งหลาย จะต้องรีบรุกเข้าไป จะต้องรีบบุกเข้าไป ต้องไสช้าง
ให้หนุนเนื่องกันเข้าไป ต้องโห่ร้อง ให้สนั่นหวั่นไหว ในวันนี้
ดุจสายฟ้าฟาด จากกลีบเมฆ คำรามอยู่"

พระเจ้าพรหมทัตทรงตรวจพล และปลุกใจเหล่าทหาร ให้คึกคักเข้มแข็ง
แล้วเคลื่อนพล ไปสู่ประตูเมือ งตักกสิลา พอมาถึงซุ้มประตูเมือง
ที่สง่างามใหญ่โตแข็งแรง ตั้งตระหง่านมั่นคง อยู่ตรงหน้า จึงได้ตรัสถาม
ขึ้นมาว่า
"นี่คือพระราชมณเฑียร ที่ประทับของพระราชาหรือ"

"มิใช่พระเจ้าข้า นี่คือซุ้มประตูเมืองเท่านั้น"

พระเจ้าพรหมทัตถึงกับตกพระทัยว่า
"ซุ้มประตูยังใหญ่โตมโหฬาร สง่างามถึงเพียงนี้ แล้วที่ประทับจะขนาดไหนเล่า"

พอดีเสนาได้กราบทูลต่อพระองค์อีกว่า
"พระราชมณเฑียรของพระเจ้ากรุงตักกสิลา นั้น ผู้คนบอกว่ายิ่งใหญ่สวยงาม เป็นเช่นเดียวกับ
เวชยันตปราสาท (วิมานของพรอินทร์)เลยทีเดียว พระเจ้าข้า"

ทรงสดับแล้ว ยิ่งทรงหวาดหวั่นพระทัย อาการที่เคยฮึกเหิม ก็กลับกลายเป็น
ขลาดกลัว ทรงไม่แน่พระทัย ที่จะโจมตี ทำศึกสงครามด้วย ในที่สุด
รับสั่งกับไพร่พลว่า
"เราไม่อาจสู้รบกับพระราชาที่สมบูรณ์ด้วยบารมีและลาภยศยิ่งใหญ่อย่างนี้ได้"

ได้ทรงหันไปทอดพระเนตร ซุ้มประตูเมืองอีกครั้ง แล้วตัดสินใจรับสั่งว่า "ถอยทัพ"

ความหวาดกลัวเหนือกว่าความอับอาย พระเจ้าพรหมทัตเสด็จยกกองทัพ
ถอยหนีกลับคืน สู่เมือง พาราณสีตามเดิม เพียงแค่ได้ทอดพระเนตร
ซุ้มประตูเมือง ตักกสิลาเท่านั้น


พระศาสดาทรงแสดงชาดกเรื่องนี้จบแล้ว ตรัสว่า
"พระเจ้าพรหมทัตในครั้งนั้น ได้มาเป็นปลายิปริพาชกในครั้งนี้ ส่วนพระราชาเมืองตักกสิลาได้มาเป็นเราตถาคตนี้เอง"

(พระไตรปิฏกเล่ม ๒๗ ข้อ ๓๐๗ อรรถกถาแปลเล่ม ๕๗ หน้า ๔๒๒)

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๔๙ ธันวาคม ๒๕๔๕)

 

พิธีศพแบบพุทธ

21 ก.ค.

                     

       สัตว์ทุกหมู่เหล่า 
                        จักทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลก
             พระตถาคตผู้ศาสดา
                         ผู้หาบุคคลเปรียบมิได้ในโลก
                    ถึงแล้วซึ่งกำลังพระญาณ
         เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ..เช่นนี้ ยังปรินิพพานแล้ว…"

                 (พุทธพจน์ ปรินิพพานสูตร เล่มที่๔๕ )
                   ต้นไม้ล้มก็เอาไปเป็นฟืน
ถ้วยชามแตกก็เอาไปทิ้งถังขยะ
                 หมา-แมวถูกรถทับตายก็เอาไปฝัง
                     หากคนเราตายควรรีบเอาไปเผา

                  

   ชาวพุทธทุกวันนี้ส่วนใหญ่ที่ถึงแก่
ความตายกันไปแล้วก็ยังต้อง
เป็นเหตุให้เสียทรัพย์มาก เสียเวลาเยอะ
ต้องมาคอยดูแลสภาพอันน่าสมเพชของศพอีกนานวัน
บางคนก็เก็บศพไว้นานเดือน-นานปีทีเดียว
  
ซากศพแม้จะพยายามรักษาไว้ให้ดูดียังไง ก็คงบวมอืดน่าเกลียด ส่งกลิ่นเหม็น
สีสันน่าขยะแขยงและเขย่าขัวญ แก่คนที่ถูกหลอกให้งมงายเชื่อเรื่องผีสาง
ซึ่งรังแต่จะเก็บไว้สร้างบรรยากาศให้น่ากลัว หรือเป็นบรรยากาศที่แสนห่วย
สุดเศร้าเคล้าน้ำตา ระคนเสียงสะอื้นไห้จากหมู่ญาติมิตร
ที่ต้องพลัดพรากจากของที่รักของตนไป อย่างไม่มีวันได้กลับคืนมาอีกแล้ว
ที่พอจะมองเห็นประโยชน์อยู่บ้างเล็กน้อย
ท่ามกลางกองทุกข์ของการเก็บศพไว้นานวัน 
ก็คือ ..ได้มีโอกาสเป็นทุกข์นานๆหลายๆวัน
เผื่อจะมองเห็นความทุกข์ของชีวิตได้ว่า
ไม่มีของรักของหวงสิ่งไหนเลยที่จะไม่ถูกพรากจากเราไปเเม้สิ่งเดียว
ใครยิ่งมีของรักมากๆคนนั้นก็ยิ่งจะต้องถูกพรากจากของรักนั้นมากๆบ่อยๆต้องพบ
ทุกข์อยู่มากๆบ่อยๆตามไปด้วย ส่วนที่หอบหวงน้อย มีความรักใคร่อะไรไว้น้อย
จึงพบทุกข์

                    

       กุลบุตรชื่อ พาหิยะทารุจีริยะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ซึ่งกำลังเสด็จบิณฑบาตรอยู่ในละแวกบ้าน
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมให้ฟังโดยย่อ ไม่กี่คำความเท่านั้น
แล้วเสด็จต่อไปบัดนั้นเอง จิตของพระพาหิยกุลบุตร
ก็หลุดพ้นแล้วจากกิเลสทั้งปวง
    ครั้นพระผู้มีพระเจ้าภาค
เสด็จกลับจากบิณฑบาตพร้อมพระภิกษุเป็นอันมาก
ได้ทอดพระเนตรเห็นพาหิยะกุลบุตรถึงแก่ความตายไปเสียแล้ว
ด้วยเหตุถูกวัวแม่ลูกอ่อนขวิด จึงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า "ท่านทั้งหลาย
จงช่วยกันเอาร่างของพาหิยะทารุจีริยะ
ยกขึ้นสู่เตียงแล้วจงนำไปเผาเสีย"นี่เป็นตัวอย่างที่พระพุทธองค์ทรงชี้นำ
"การทำพิธีศพอย่างพุทธ" เอาไว้ซึ่งขนาดพาหิยกุลบุตรนี้ได้บรรลุธรรมจนเป็น
พระอรหันต์แล้ว พระผู้มีพระภาคก็ยังให้เผาศพอย่างรวดเร็ว
จึงนับประสาอะไรกับคนธรรมดากิเลสทุกข์หนาหนักจะปล่อยให้ศพถูกเผาชักช้า
ทำให้ผู้คนต้องจมปลัก
ทุกข์ยากลำบากอยู่นานวันไปใยกัน  อีกอย่างพระพุทธองค์ก็ทรงกระทำให้เห็น
พิธีศพอย่างประหยัด เรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ เห่อเหิม น้อยภาระ

 

 

                  

มีความสิ้นเปลืองทางเศรษฐกิจน้อยมาก
ไม่ต้องเสียเงินค่าสวดศพ,ไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณาในหนังสือพิมพ์,ไม่ต้อง
เสียค่าดอกไม้ธูปเทียน -พวงหรีด
ไม่ต้องเสียค่าเครื่องดื่มและอาหาร,ไม่ต้องเสียเงินตัดเสื้อผ้าใหม่เพื่อ
"ไว้ทุกข์ "ไม่ต้องเสียเวลาเสียงานอื่นมากนัก,ไม่ต้องรดน้ำศพ,ไม่ต้องเก็บศพ
ไว้ให้เปลืองพื้นที่และค่าฮวงจุ้ย,ไม่ต้องทุกข์ ลำบากตรากตรำเสียอกเสียใจ
กันเกินไป
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ทำให้พิธีศพของพุทธแท้ๆต้องเลอะเทอะเสียไปจนเพี้ยน
เป็นพิธีหลอกหากินของคน"ฉลาดโกง"ที่แอบอ้างอาศัยพิธีกรรมซึ่งไม่ใช่ของพุทธ
มาบังหน้าหากิน


                

    ดังนั้นจึงต้องรีบจัดการงานศพโดยเร็ว
แล้วหากยังอยากทำบุญเพื่อระลึกถึงผู้ตาย
ก็ควรทำตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสไว้ใน"อากังขสูตร"เอาไว้ว่า

   "ถ้าพึงหวังว่า มีจิตเลื่อมใสญาติสายโลหิตคนใด ตายไปแล้ว
ย่อมตามระลึกถึง การระลึกถึงแห่งญาตินั้น พึงมีผลประโยชน์มาก
ก็ต้องทำบุญให้บริสุทธิ์ในศีลทั้งหลาย

 อันประกอบด้วยความสงบใจในภายใน

 ไม่เหินห่างจากการทำใจให้สงบ

  อันประกอบด้วยการพิจารณา ให้เห็นแจ้งความจริง
  ตามความเป็นจริง"

 
    พระสูตรนี้ พระพุทธองค์ทรงเน้นให้เห็นชัดเจนว่า
หากระลึกถึงผู้ตายอันเป็นที่รักเคารพคนใดแล้ว ก็ต้องถือศีล ๕
หรือศีล๘(กินเจ,มังสวิรัติ)หรือศีลอื่นๆให้บริสุทธ์บริบูรณ์จะได้เกิดผลบุญ
ผลประโยชน์แก่ตนอย่างมากมาย
       การทำบุญคิดถึงผู้ตาย
แล้วจะให้เกิดบุญ(การชำระใจ)เกิดกุศล(ความรู้-ความฉลาดที่ถูกธรรม)มากที่สุด
จึงคือ การถือศีลปฏิบัติธรรมให้บริสุทธิ์นั่นเอง
       
เพราะการถือศีลการกระทำที่ดีนี่แหละ
คนที่อยู่ใกล้ชิดเราก็พลอยได้รู้ได้เห็น
ได้ระลึกถึงความสุขเย็นของธรรมะไปด้วย
ได้รับตั้งแต่ตอนมีชีวิตอยู่เป็นๆอยู่นี้เลยทีเดียว
ไม่ใช่ไปมัวระลึกถึงกันต่อเมื่อสายไปเสียแล้ว
    "พิธีกรรมอย่างพุทธ"จึงมุ่งสร้าง "บุญ"อย่างเห็นๆอย่างเป็นๆอย่างไม่สายเกินตาย  
                     

 ดังนั้นถ้าพิธีกรรม


  

ใดทำแล้ว มีแต่เพิ่มกิเลสให้ผู้คนมากขึ้น ทำผิดศีล๕ พาเสพอบายมุข
กันในงาน เช่นเล่นการพนัน ,กินเหล้าเมายา,ฆ่าไก่-หมู
วัว-ควายฯลฯการเลี้ยงกันด้วยความตายของผู้อื่น
พิธีกรรมนั้นย่อมเป็น"บาป"(ความไม่เจริญ)นั่นมิใช่พิธีกรรมของชาวพุทธ
ที่จะพึงควรกระทำหรือให้การสนับสนุนด้วย ประการใดๆเลย
  เรามาช่วยกันเป็นชาวพุทธแท้ๆที่พยายามทำพิธีกรรมอย่างพุทธ ให้ถูกต้องกันดีกว่า
                       กุสะโล ชะหาติ ปาปะกัง
                       คนฉลาดย่อมละบาป  
 
                        อนัตถัง  ปริวัชเชติ
                        อัตถัง คัณหาติ  ปัณฑิโต
                        บัณฑิตย่อมเว้นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์

                        ถือเอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์
                        (พุทธวจน)    
           ขอความสุขอันยิ่งใหญ่และยั่งยืนจงมีแด่มวลมนุษยชาติ

             

                              

สถานีวิทยุชุมชนการสื่อสารบุญนิยม”เสียงธรรมร่วมใจ”

30 มิ.ย.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ภาพที่ตั้งสถานีวิทยุชุมชนหลังใหม่

รับฟังวิทยุชุมชน"มูลนิธิธรรมะร่วมใจ"ได้ที่
FM.91.50 MHZ ออกอากาศ 2 ช่วงเวลาโดยไม่มีโฆษณา
ช่วงเช้า 04.30 น -14.00.น
ช่วงเย็น 15.00-21.30.น ทุกวัน
วัตถุประสงค์ของการดำเนินงานของสถานีวิทยุชุมชนของ"มูลนิธิธรรมะร่วมใจ"
๑.รักษาและดำรงไว้ซึ่งความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
๒.ส่งเสริมและเผยแพร่สิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
๓.เป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้อมูลข่าวสารและถ่ายทอดวัฒนธรรม
๔.เป็นสื่อที่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ ความสามัคคีชุมชน
๕.เผยแพร่ให้ความรู้ด้านศีลธรรมและจริยธรรมในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง

ส่งกระจายเสียงครอบคลุมพื้นที่ ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานีฯ บางส่วน
ร้อยเอ็ดบางส่วน..ศรีสะเกษบางส่วน..ติดต่อสอบถาม
"มูลนิธิธรรมะร่วมใจ" วัดป่าสวนธรรมร่วมใจ ตั้งอยู่ถนนอรุณประเสริฐ(ยโสธร-อำนาจเจริญ) บ้านม่วงไข่ ต.กระจาย อ.ป่าติ๊ว จ.ยโสธร..
045-795-048.

045-795-505.

089-6291452
Email..prasupatto@yahoo.co.th

watmaster08gmail.com

 

องค์กรชาวพุทธแถลงประณามโจรใต้ฆ่าพระ จี้รัฐจับให้ได้ภายใน 1 เดือน

14 มิ.ย.
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 มิถุนายน 2552 19:21 น.

ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย และองค์กรเครือข่ายชาวพุทธ 3
องค์กร ร่วมกันออกแถลงการณ์ประณามเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3
จังหวัดชายแดนใต้ล่าสุด ที่คนร้ายใช้อาวุธปืนกราดยิงพระภิกษุขณะออกบิณฑบาต
จนทำให้พระภิกษุเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา


        พระเทพวิสุทธิกวี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาส
ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า
เหตุที่เกิดขึ้นนับเป็นความโหดร้ายรุนแรงเกินกว่าจะรับได้
ดังนั้นจึงขอประณามผู้ก่อเหตุครั้งนี้อย่างรุนแรง
และขอให้ชาวโลกผู้รักสงบร่วมกันประณามพฤติกรรมเช่นนี้ในทุกรูปแบบและจริงจัง
พร้อมเรียกร้องรัฐบาลไทยให้จับกุมตัวผู้ก่อการร้ายที่ก่อเหตุยิงพระภิกษุให้
ได้ภายใน 1 เดือน และเร่งรีบแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3
จังหวัดชายแดนใต้โดยเร็วที่สุด โดยดำเนินมาตรการตามยุทธศาตร์ 4ประการ คือ
ยุทธศาตร์ป้องกัน
ไม่ให้องค์การภายนอกเข้ามาแทรกแซงกิจการบ้านเมืองในทุกรูปแบบ
และป้องกันไม่ให้โจรก่อการร้ายเหิมเกริม ยุทธศาตร์กำจัด
หรือปราบปรามพฤติการณ์ชั่วโหดร้ายให้เกิดผลโดยเร็ว ยุทธศาตร์พัฒนา
ให้ทุกภาคส่วนเข้าไปร่วมกันพัฒนาอย่างจริงจัง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม
การศึกษา ความมั่นคง และยุทธศาตร์อารักขา ให้ความคุ้มครองประชาชนทุกชีวิต
ทั้งภิกษุ สามเณร และคนทั่วไปให้มีความปลอดภัยอย่างเท่าเทียมกัน


        นอกจากนี้
ยังเรียกร้องให้พุทธศาสนิกชนช่วยกันให้กำลังใจชาวไทยผู้ประสบความเดือดร้อน
ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ด้วยการบริจาคข้าวสาร อาหารแห้ง
เพื่อนำไปบำรุงขวัญด้วย

ฝุ่นฟ้าฝากฝัน..รับน้องใหม่..

9 มิ.ย.

 

   สมาน สมาชิกสภา อบต. พึ่งเลิกจากการประชุมกลับมา ถึงบ้าน
รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่ชุดเก่า เพื่อออกไปรดน้ำผัก ในสวน ท้ายหมู่บ้าน
เห็นจดหมายของลูกชาย ที่ไปเรียน มหาวิทยาลัยต่างจังหวัด วางอยู่บนโต๊ะ
สมานดีใจที่จะได้ข่าวลูก

"กราบเท้าคุณพ่อคุณแม่ที่เคารพรักของลูก
"
แต่ก่อนผมคิดว่าจบ ม.๖ แล้วไปสอบเอ็นทรานซ์ เข้ามหาวิทยาลัยมีชื่อได้นั้น
เป็นความสำเร็จอีกอย่างในชีวิต วาดอนาคต ไว้รางๆ ว่าจะมุ่งไปสู่จุดนั้นๆ
แต่เมื่อผมได้เข้ามาสู่แวดวงของมหาวิทยาลัยแล้วจึงรู้ว่า มันไม่ง่าย
อย่างที่ผมคิดไว้เลย การก้าวมุ่งไป สู่ความสำเร็จนั้น นักศึกษาใหม่
ต้องตั้งใจจริง ฉลาดรู้เท่าทัน สภาพสังคม ค่านิยมของเหล่านักศึกษา
ในมหาวิทยาลัย มีทั้งดีและเลว ผมโชคดีที่พ่อแม่ปฏิบัติธรรม นำพาไปในทางดี
ทำแต่สิ่งเจริญสร้างสรรค์ มาตลอด ผมยังจำได้ แม่เคยสอนให้ผมขยันอดทน
ซื่อสัตย์ประหยัดและให้อภัย ผมจึงมีภูมิคุ้มกัน ให้พ้นค่านิยม
สังคมเลวร้าย ที่จะดูดดึง ให้ไปหลงติด ได้พอสมควร

"เรื่องการรับน้องใหม่ เขาจะจัดรับกันทุกคณ
ะและคงเหมือนกันทุกมหาวิทยาลัย ต่างกันก็ที่จะรับกัน
หนักเบาแค่ไหนเท่านั้น ส่วนมหาวิทยาลัยของผม จะมีงานรับน้องใหม่แบบนี้ครับ

"วันแรก รุ่นพี่มารอพบพวกน้องๆ แล้วต่างทักทายจับจองตัวคนนั้นน้องกู
คนนั้นน้องข้าจองน้องๆ เอาไว้ปฏิบัติการแกล้ง ตามค่านิยมที่สืบทอดกันมา
จนเป็นประเพณี ที่ยากจะเลิกไปได้ วันต่อมารุ่นพี่สั่งให้รุ่นน้อง
เข้าประชุมที่ห้องเก็บของ ใต้แสตนด์เชียร์ใหญ่ ในสนามกีฬา
เป็นการประชุมลับ ที่คณะอาจารย์ ไม่รู้ไม่เห็นด้วย
เมื่อรุ่นน้องเข้าไปนั่งอัดกันอยู่ กับพื้นจนหมดแล้ว
รุ่นพี่ก็เดินเรียงแถว เขามายืนอยู่รอบๆ พร้อมออกคำสั่ง ให้รุ่นน้องทุกคน
ก้มหน้าลง จนหน้าแตะพื้น ห้ามเงยหน้าขึ้นมาเด็ดขาด แล้วการฝึกความอดทน
ก็เริ่มขึ้น "ไอ้พวกสัตว์" เป็นคำแรกที่ดังขึ้น และคำต่อๆ ไปที่พวกพี่ๆ
สรรหามานั้น ล้วนแต่เป็นคำหยาบรุนแรง คิดว่าเป็นการฝึกอดทนก้มหน้า
ให้เขาดุด่า เหตุที่ให้ก้มหน้านั้น ก็คงจะกลัวรุ่นน้อง เห็นหน้าพวกรุ่นพี่
ที่กำลังอ้าปากถ่มถ้อยคำ อันหยาบช้า ออกมากระมัง

"รุ่นน้องบางคนก็ถูกรุ่นพี่หาเรื่องแกล้ง ลงโทษให้คลานตามพื้น
กลิ้งหรือนอนกลางแดด เพื่อนของผมเดินสวนทางกับรุ่นพี่
ในคณะเดียวกันแล้วไม่ทัก เพราะจำไม่ได้ หลังเลิกเรียน
เพื่อนผมถูกตามตัวให้ไปพบ ที่หอพักของรุ่นพี่ แล้วบังคับ
ให้กินมะระจีน หลายลูกจนอ้วก ออกมาแทบหมดไส้หมดพุง พวกรุ่นพี่ให้เพื่อนผมนอนลงแล้วบอกว่าจะนับหนึ่งถึงสิบให้
วิ่งลงหนองน้ำ ซึ่งอยู่ห่างหอพัก ประมาณร้อยเมตร พวกพี่ๆต่างหัวเราะกันครื้นเครงแล้ว สำทับว่า วันนี้มึงกลับได้แต่
วันหลังมึงจำกูไม่ได้ มึงโดนดีกว่านี้แน่

"ผมมีความรู้สึกว่า กฎเกณฑ์
พวกรุ่นพี่ได้ตั้งเอาไว้นั้นมัน ยอดแย่จริงๆ ไร้สาระไม่เป็นธรรม
และไร้ศีลธรรม คงจะมีที่ มหาวิทยาลัย ที่ผมเรียนอยู่แห่งเดียวเท่านั้นมั้ง
กฎเกณฑ์ที่ตั้งเอาไว้ คือว่า

๑. รุ่นพี่ถูกเสมอ

๒. รุ่นพี่ไม่มีวันผิด

และ ๓. ถ้ารุ่นพี่ผิด ให้ย้อนไปดูข้อ ๑ และข้อ ๒ รุ่นน้อง จึงมีแต่เรื่องผิดอยู่ฝ่ายเดียว

"แล้ววันต้อนรับน้องใหม่ ครั้งใหญ่ก็มาถึง พวกพี่ๆ ได้
นัดรุ่นน้องให้ไปรวมกันอยูในห้องประชุมมืด ใต้แสตนด์เชียร์
ใหญ่ของสนามกีฬาอีกครั้ง "เร็วๆ เข้าไปๆ" คำสั่งของรุ่นพี่
ให้รีบเร่งกลัวอาจารย์จะรู้ เพราะมหาวิทยาลัย สั่งห้ามและ
จะลงโทษอย่างหนักกับ นักศึกษารุ่นพี่ ที่จัดการต้อนรับน้องใหม่
ด้วยพฤติกรรม ที่ไม่มีอาจารย์ รู้เห็นด้วย แต่พวกรุ่นพี่ ก็คึกคะนอง
จัดกันจนได้ สั่งให้พวกผม ทั้งคณะประมาณ ๗๐ คน เข้าไปอยู่ในห้องมืด
ตั้งแต่หนึ่ทุ่ม โดยไม่รู้ว่า รุ่นพี่เขากักขัง พวกเราไว้เพื่ออะไร

"สี่ทุ่มทุกอย่างยังคงเงียบ เพื่อนบางคนลงนอนกับพื้นด้วยความอ่อนเพลีย สำหรับ ผมรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยเลย

"ตีสาม ประตูเปิดออก พวกรุ่นพี่ต่างมากันพร้อม "เร็วๆ ออกมาเร็วๆ"
พวกเราถูกต้อนไปที่สระน้ำใหญ่ข้างสนามกีฬา แล้วก็สั่งให้
กระโดดลงไปให้แช่ตัว อยูในน้ำนานไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง พึ่งรู้ว่า
น้ำในสระตอนตีสามนั้น มันเย็นจริงๆ พวกรุ่นพี่ หัวเราะสะใจ
ที่ได้เห็นพวกเรา หนาวสั่น

"เกมต่อมาพี่เขาสั่งให้พวกเราเงยหน้าขึ้นได้
ตากับจมูกเท่านั้นที่พ้นจากน้ำ ส่วนอื่นๆ ให้อยู่ใต้น้ำ แล้วพวกเขา
ก็เทลูกชมพู่ ที่เตรียมไว้ลงในน้ำ เพื่อให้พวกน้องใหม่ คาบเอาไว้ให้ได้
คนละหนึ่งลูก หากว่าน้องที่เป็นผู้ชายคนไหน คาบลูกชมพู่ไมได้ น้องคนนั้น
ต้องขึ้นมาเป็นซูเปอร์แมน คือ ให้วิ่งเข้าไปในป่าใกล้สระน้ำ
แล้วถอดกางเกงใน ออกมาสวมทับ กางเกงขายาว เดินออกมายืนอยู่ริมสระน้ำ
แล้วพวกเขา จะสั่งให้เต้นสารพัดท่า
และแสดงออกให้พวกเพื่อนที่อยู่ในน้ำดูกันจนพอใจ ถึงได้จบเกมรับน้องใหม่กัน

"เมื่อพ่อแม่ได้รับรู้เรื่องราวในช่วงแรกๆ
ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในรั้วมหาวิทยาลัยก็อย่าพึ่งตกใจ เพราะถึงอย่างไร
ผมก็ได้ ผ่านพ้น เหตุการณ์นั้นๆ มาแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง ผมยังสบายดีครับ

"ที่ผมเคยมุ่งแต่อยากไปเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อตาม
ค่านิยมของสังคมนั้น พึ่งมานึกได้ว่าคิดผิด แท้จริงแล้ว ผมน่าจะไปเรียนต่อ
ที่วิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัย ใกล้บ้านที่สุดนั่นแหละ
คือแนวทางที่ถูกต้องที่สุดเลย เพราะค่าใช้จ่าย ต่างๆ จะน้อยกว่ากัน
ยิ่งมีที่เรียนอยู่ใกล้ เช้าไปเย็นกลับได้ ยิ่งจะดีมาก เพราะสิ่งที่เรา
ต้องการ คือ เรียนให้จบ เพื่อรับเอา ปริญญา มาสมัครงาน
หาเงินกันแทบทั้งนั้น จะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยไหน วุฒิหรือคุณค่าของ
ใบปริญญานั้น จะไม่ต่างกันเลย ใบปริญญา จะมีคุณค่าได้ ก็อยู่กับตัวเราเอง"

สมานอ่านจดหมายของลูกชายจบ แล้วถอนหายใจยาว รู้สึกขุ่นข้องใจ
กับค่านิยมในแวดวงนักศึกษา มหาวิทยาลัย ในปัจจุบัน ที่ผิดศีลธรรม
ผิดหลักคำสอน ของศาสนา ไม่สามารถเข้าไป ยืนหยัดปฏิบัติเป็นพลัง
คุณงามความดีไดเลย เพราะนักศึกษาส่วนใหญ่ ไม่มีพื้นฐาน
เรื่องศีลธรรมมาก่อน สังคมนักศึกษา จึงหันหลังให้ศาสนา ความนึกคิด
จึงเปิดเสรี เกินขอบเขต นักศึกษาหลายคน หลงไปกินเสพ ของมึนเมา และชอบมั่ว
กามราคะกันหนัก จนผิดไปจากแนวทาง ของผู้ที่จะก้าวไป สู่ที่เจริญ
หรือปัญญาชน ที่มีคุณค่า ในอนาคตได้ สมานรู้ว่าลูกชาย มีพื้นฐานของศาสนา
อยู่ในหัวใจ เขาคงจะรอดพ้น จากอิทธิพล ค่านิยมเสรี ไร้สาระ ในปัจจุบันได้