Archive | ข่าวสารและการเมือง RSS feed for this section

หัวข้อการพูดคุย YouTube – MV ทวงคืนเขาพระวิหาร

26 ส.ค.

 

ยกคำพูดมา

YouTube – MV ทวงคืนเขาพระวิหาร

 

ขอบคุณวีดีโอ จาก YouTube 

หัวข้อการพูดคุย YouTube – เพลงลูกทุ่งเขาพระวิหาร

26 ส.ค.

 

ยกคำพูดมา

YouTube – เพลงลูกทุ่งเขาพระวิหาร

 

ขอบคุณวิดีโอ จาก YouTube

ปฎิรูปใครก่อนหนอ?

17 ส.ค.

 

ฏิรูป                        ประเทศ                     พัฒนาไทย
คือธงชัย                     พลิ้วสะบัด                  อยู่เบื้องหน้า
หากมุ่งมั่น                   จริงใจ                        หมายไขว่คว้า
พึงหาญกล้า                 กำราบ                       กำจัดพาล

 ฏิรูป                     "นักการเมือง"              เป็นเบื้องต้น
ให้ล่วงพ้น                "นักกินเมือง"                เลื่องกล่าวขาน
 งาน"การเมือง "         "เพื่อ" การเมือง               อุดมการณ์"
ใช่เพื่อพราง               พร่าผลาญ                     แผ่นดินไทย
 
 ปฏิรูป                      "ข้าราชการ"                 กลไกรัฐ
 ปฏิบัติ                     "ราช-การ"                     งานยิ่งใหญ่
งาน"ในหลวง"            เพื่อปวงชน                   สุขกายใจ
ใช่งานสนอง               ตัณหาใคร                     ตามใจตน
 
 ฏิรูป                      "ประชาชน"                 เป็นรากฐาน
 สัดส่วนมาก              สูงสุด                           สัมฤทธิ์ผล
"อธิปไตย"..              เพื่อประโยชน์                 ประชาชน
นักการเมือง              ร้อยเล่ห์กล                     ฤากล้ำกราย
 
กระบวนการ              ปฏิรูป                            ที่ร่ายเรียง
ล้วนเป็นเพียง           เเนวทาง                          ที่มาดหมาย
หาก "ธรรม"             มิครองใจ                         วาจา กาย
วาระสุดท้าย             ก็ล้มเหลว ..                      เลวต่อไป
 
เหตุไฉน                 "พุทธแท้"                       มิหยั่งจิต
"องค์กรสงฆ์"         เคยครุ่นคิด                       คลางแคลงไหม
สังคมไร้                 "คุณธรรม"..                    เพราะเหตุใด
น่า "ปฏิรูป"             องค์กรไหน                      นำร่องหนอ ? 

 

 

ขอบคุณ พ.ต.ท. รุ่งโรจน์ เรืองฤทธิ์

บรรณาธิการ น.ส.พ. เราคิดอะไร คอลัมน์ ปิดท้าย

น.ส.พ.เราคิดอะไร ปีที่ 16 ฉบับที่ 241 เดือนสิงหาคม 2553

คำต่อคำ”ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล” พสกนิกรไทยชาวไทยต้องอ่าน !

2 เม.ย.

คำต่อคำ อำมาตย์ ชื่อ "ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล" เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา บันทึกไว้ใน แผ่นดิน…ตามเส้นทางเสด็จฯ ทุกคำ ทุกบรรทัด จากนี้ไป พสกนิกรไทยชาวไทยไม่อาจไม่อ่าน !!

 

"ดร.สุเมธ" เล่าเรื่อง อาการพระประชวร

"พระองค์ท่าน พระชนมพรรษาตั้ง 80 พรรษากว่าแล้ว การที่ทร งพระประชวรก็เป็นเรื่องธรรมดา อีกทั้งพระวรกายของพระองค์ท่านก็ผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก ทรงเสด็จฯ เยี่ยมเยียนพสกนิกร อย่างมากมาย ผมได้มีโอกาสตามเสด็จมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2524 กว่าๆ เป็นต้นมา เห็นว่าพระองค์ท่านทรงงานเกินก ว่าภาวะร่างกายมนุษย์จะพึงแบกรับได้ พระวรกาย ของพระองค์ท่านก็ต้องสึกหรอเป็นธรรมดา"

"อย่างไรก็ ตาม ในขณะที่พระองค์ท่านทรงมีพระวรกายแข็งแรง ทรงมองปัญหา วางแผนการแก้ปัญหา ไว้เรียบร้อยแล้ว ทรงตั้งองค์กรที่จะรับงาน ไปดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่น มูลนิธิโครงการหลวง มูลนิธิชัยพัฒนา และโครงการพระราชดำริ และมูลนิธิ ราชประชานุเคราะห์"

ทำให้มีองค์กรที่สามา รถทำให้งานเดินหน้าต่อไปได้ แม้ว่าระยะหลังพระองค์ท่านจะไม่ได้เสด็จออก แต่งานทั้งหลายก็ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่ มีกระแสรับสั่งผ่านสมเด็จพระเทพฯ ที่ทรงเข้า เฝ้าฯ บ่อยมากๆ และทรงรับ พระราชกระแสรับสั่งมา ทำให้ในแง่งานไม่ได้หยุดลง เลย

"ทรงงาน ตลอดเวลา…แม้ประทับอยู่โรงพยาบาล"

แม้ว่าในขณะนี้ พระองค์ จะประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช สมเด็จพระ เทพฯ ก็ยังทรงเข้าเฝ้าฯ และ กราบทูลฯ ถวายรายงาน บาง งานพระองค์ท่านก็มีรับสั่งเพิ่มเติม ในฐานะ พระองค์ท่านทรงเป็นประธานกิตติมศักดิ์ สถาบัน น ้ำ ท่านก็รับสั่งให้ข้อมูลตลอดเวลา ในโลกที่เทคโนโลยีสารสนเทศก้าวหน้า การสั่งราชการสมัยใหม่ สั่งงานที่ไหนก็ ได้ และรูปแบบการถวายรายงานก็มีหลายช่องทาง ไม่จำเป็นต้องเสด็จฯ ให้เหนื่อย ยากเหมือนสมัยก่อน และงานทุกอย่างพระองค์ท่านทรง หลับตาก็เห็นหมด

มีอยู่ ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงโทรศัพท์สายตรงมาถึง ตอน นั้นก็ประมาณตีสอง ตีสาม ก็ เคย แสดงให้เห็นว่าท่านทรงงานตลอดเวลา แต่ส่วนมากท่านจะทรงมีกระแสรับสั่งผ่านสมเด็จพระเทพฯ

ตัวอย่างคำ แนะนำของในหลวง ตอนนั้นมีเรื่องการตั้งโครงการ เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงของหน่วยงานอื่น พระองค์ ท่านทรงเห็นว่าไม่ควรดำเนินการ แต่ได้ทรง อธิบายว่าทำไมพระองค์ไม่เห็นด้วย ผมก็แจ้งให้ หน่วยงานนั้นยุติเสีย

"ทรง งานอย่างละเอียด…รอบคอบทุกพิกัด"

ท่านมีพระกระแสรับสั่งงานได้เฉพาะเจาะจง บางครั้งงานที่เราถวายรายงานก็ทรงทราบรายละเอียด มากกว่าเราที่อยู่ใน พื้นที่ มีอยู่ครั้ง หนึ่งพระองค์จะเสด็จฯ ที่สาธารณรัฐประชาธิปไต ยประชาชนลาว เราไปนอนรออยู่ก่อนที่เวียง จันทน์ แล้วถวายรายงานเรื่องพิกัด ท่านก็มีพระกระแสรับสั่งผ่านศูนย์อำนวยการรักษาความปลอดภัย กลับมาตอนสี่ทุ่ม ทรงมีรับสั่ง ว่า "พิกัดที่ส่งไป ผิด พลาดไปประมาณ 500 เมตร" เรา ซึ่งอยู่ในพื้นที่ยังถวายรายงานได้ไม่ครบ แต่ พระองค์ท่านประทับอยู่ที่วังยังทราบได้ ทั้งๆ ที่คณะทำงานขนระบบ GPS ไปกัน เพียบ

พอรุ่ง ขึ้น…เข้าไปวัดใหม่ก็ปรากฏว่าผิดพลาดจริงๆ เมื่อ พระองค์ท่านประทับลงจากรถ ก็ทรงรับสั่งว่า "เห็นมั้ย…บอกผิด" นี่เป็นตัว อย่างว่าท่านทรงงานละเอียดมาก งานทุกแห่งท่าน ต้องทรงไปทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง

"ทรงพะวงกับงานโดยไม่คำนึงถึงพระวรกาย"

การทรงงานทุกอย่าง ท่านคิดแต่เรื่องคน อื่นตลอดเวลา ทรงเกรงใจคน ไม่ต้องการให้คนอื่นลำบาก บางคราวเสด็จ ออกโดยไม่แจ้งหมายกำหนดการล่วงหน้า ทรงทราบ ว่าจะมีคนมาคอยเฝ้าฯ จะลำบาก พวกเราก็ต้องคอยเก็งเอาว่าท่านจะเสด็จฯ ไหน เมื่อเสด็จออกถึงได้รู้กันตอนนั้น บางครั้งก็เก็งถูก บางครั้งก็ผิด แต่เราก็ต้องเตรียมพร้อมเสมอ มี รถนำขบวนเตรียมไว้ทั้งซ้าย-ขวา ท่านเสด็จออก ทางไหนก็พร้อม มีโอเปอเรชั่นวางไว้เลย

ครั้งที่ แล้วที่เสด็จฯ ประทับโรงพยาบาลเพราะต้องผ่าตัด อีก 5 ชั่วโมงจะเสด็จฯ ถึงโรงพยาบาลศิริราช ทรงมีรับสั่งให้ ทีมงานติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อติดตาม สถานการณ์พายุที่จะเข้าฝั่ง พระองค์ท่านทรง พะวงกับงาน โดยไม่คิดถึงพระวรกาย ไม่ใช่ว่าเมื่อทรงพระประชวรแล้วจะหยุดทรงงาน ขณะนี้ก็มีหนังสือราชการ มีการลงพระ ปรมาภิไธย มีพระบรมราชโองการตลอดเวลา

 

"ผมคิด ว่าเป็นเพราะความเกรงใจคนอื่น การประทับที่ โรงพยาบาลศิริราช ขณะนี้ทราบว่าพระอาการทั่วไป หายดีหมดแล้ว เหลือเฉพาะต้องประทับต่อเพื่อทำ กายภาพบำบัด หากท่านเสด็จฯ ออกจากโรงพยาบาล ก็เกรงใจทีมแพทย์ การประทั บโรงพยาบาลต่อเพื่อจะทำให้ทีมแพทย์มีความ สะดวก…นี่ผมเดาเอาเองนะ เพราะท่านทรงคิดถึง คนอื่นตลอดเวลา แม้จะเสด็จฯ ไปหัวหิน ก็ทรงรอให้ถึงวันเปิดเทอม เพราะจะได้มีคนน้อยๆ รถราไม่ติด ทุกเรื่องทรงคิดหมด"

ฝนตก แดดออก ทรงเสด็จออก ไม่เคยยกเลิกหมายกำหนดการ มีอยู่ปี หนึ่งน้ำท่วม ท่านเสด็จออกโดนแมลงกัดจนมีแผล ที่พระบาท ท่านก็ยังมีรับสั่งงานต่างๆ ต่อ งานทุกอย่างท่านต้องทอดพระเนตร ทุกงานพระองค์จะทรงห่วงตลอด

"พระ อารมณ์ขันและคำเตือน"

"งานผมก็เคยถวาย รายงานแล้วไม่ถูกพระทัย เพราะเราพลาด เราก็รู้ว่าเราต้องทำใหม่ มนุษย์ คนไหนไม่พลาดเลยตลอดชีวิต คนนั้นบ้าแล้ว บางคนทำผิดเท่าไร ไม่เคยเห็นความ ผิดของตัวเอง คนแบบนี้พระพุทธเจ้าสอนว่า เป็นพวกบัวใต้น้ำ พระองค์ท่านทรงดุ เพื่อไม่ให้เราผิด พลาดอีก"

พระองค์ ท่านเคยตรัสถามว่า จะอยู่ถึง 120 ปีด้วยกันมั้ย เราก็ตอบว่า ตอนนั้นข้าพระพุทธเจ้าก็คง 108 ปี…ทรง มีอารมณ์ขัน นอกจากนี้ทรงมีการเตือนพวกเรา ตลอดเวลา ว่าอย่าให้ตัวเองอ้วนเกินไป ให้มีวินัยในการประพฤติตัว ปีที่แล้ว เราอายุ 69 ปี ก็ขอพร ท่านตรัสว่า "ให้กินน้อยๆ"

"ทรงเตือนว่า เป็นนัก พัฒนาต้องแข็งแรง เพราะต้องออกเยี่ยม เยียนประชาชน อย่าตามใจปาก พออิ่มก็หยุดได้แล้ว"

"ความ ทุกข์…ของพ่อ"

"เรื่องความทุกข์ ท่าน ไม่ทุกข์ แต่ก็ธรรมดาถ้าลูกๆ ทะเลาะกัน พ่อ-แม่ก็ทุกข์…ไม่ว่าจะใส่เสื้อ สีอะไร ก็ลูกท่านทั้งนั้น ตาม วิสัยพ่อ-แม่ รู้สึก Hurt ทั้งนั้น ถ้าลูกตีกัน ฉันใดก็ฉันนั้น พระองค์ท่านก็ทรงห่วง" จะเห็นว่าเมื่อมีวิกฤติเป็นระยะๆ ท่านก็ทรงเตือนให้รักษาบ้าน รักษาเมือง ประเทศชาติเกิดอะไรก็ไปกันหมด ประเทศ ไม่สงบ ก็เดือดร้ อนกันหมด ทรงเตือนให้มีสติ เอาสติกลับมา ทะเลาะกันก็เดือดร้อนกันทั้งคู่

 

"พระประมุขแห่งแผ่นดินเห็นอย่างนี้ ก็คงกลุ้มพระทัย แต่เราก็ไม่เคย ทูลถาม แต่ก็สังเกตเห็น"

หลายฝ่ายจะให้ท่านทำอย่างนั้น ทำอย่าง นี้ ทำไม่ได้หรอก พูด อย่างนั้นเป็นการพูดกันตามอำเภอใจ แต่พระองค์ ทรงมีทศพิธราชธรรมอยู่ข้อหนึ่งคือ อวิโรธนะ คือทำผิดไม่ได้ ต้องดูความเหมาะ สม ถูกกฎหมายหรือไม่ ผิด กฎหมายหรือไม่ รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าอย่างไร ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ บางทีก็ไม่ รู้เรื่องตอนหนึ่งมี นักข่าวต่างชาติมาสัมภาษณ์ท่านเรื่องพฤษภาทมิฬ ท่านรับสั่งว่า ตอนนั้นนายกรัฐมนตรีก็มี รัฐบาลก็อยู่ จะให้ท่านออกมาได้ อย่างไร ถ้าท่านออกมาก็จะถูกหาว่าเข้าข้างรัฐบาล ได้ เมื่อทั้ง 2 ฝ่าย ควบคุมกันไม่ได้ แล้วมีคนตาย ท่านก็ออกมา ท่านจะทรงทำอะไร ไม่ทำอะไร เป็นเรื่องที่ยากมาก ท่านมีกรอบ มีคนมาวิพากษ์วิจารณ์ ท่าน พระองค์ท่านก็นิ่งเงียบ อดทน ไม่เหมือนเรา ใครด่า เราก็ด่าตอบ แต่ท่านทรงทำอย่างนั้นได้ที่ไหน

"ในหลวง เป็นนักบุญที ่มีชีวิต"

เรื่องที่วิจารณ์เปรียบเทียบกันว่า สถาบันของไทยไม่เหมือนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ประเทศอื่น ก็ใช่ ของเขาก็ของเขา ไม่เหมือนของเรา เปรียบเทียบกันไม่ได้ ผมก็เคยพูดไปว่าไม่เหมือนกันระหว่างเมืองไทยกับ ประเทศอื่น ก็มีคนหาว่าผมเล่านิทานโกหก

สถาบันของ เราถวายคำว่ามหาราช ท่านก็ยังไม่รับ พระองค์ท่านเป็นนักบุญที่มีชีวิต ตลอด 63 ปี ท่านทรงงานตลอด ท่านทรงทำอะไรไม่ดีต่อแผ่นดินบ้าง พระองค์ ท่านเหมือนพระ ท่านทำเพื่อทำ ท่านเคยตรัสว่า "ฉันใช้ระบบสังฆทาน ทำไปโดยไม่เจาะจงว่าเพื่อใคร" หาอย่างนี้ไม่ได้แล้ว

 

เด็กรุ่น ใหม่เขาอาจจะไม่เคยสัมผัส ทั้งๆ ที่สื่อก็ออกมามากมาย แต่ยุคสมัยมัน เปลี่ยนไป เพราะไปศึกษาในโลกตะวันตก ก็มีค่านิยมอีกแบบ ที่สุดก็ถูกครอบงำ โดยตะวันตก จนลืมรากเหง้าตัวเอง เด็กรุ่นใหม่ก็คิดเรื่องเงินตัวเดียว ทำงานก็เพื่อเงิน ต้องรวย คุณธรรมช่างหัวมัน ทัศนคติเด็กที่คิด เรื่องคอรัปชั่น บอกว่าขอให้สะดวกสบาย มีการบริการ ไม่แยกแยะ เรื่องดีเรื่องไม่ดี…

"เมื่อถูกอ้าง…จะให้ทำอย่างไร"

เรื่องที่ถูก "อ้าง" คนใกล้ไม่ได้อ้าง คนอ้างไม่ได้ใกล้นั้น "ดร.สุเมธ" ต้องถอนหายใจหลาย ครั้ง กว่าจะเริ่มตอบอย่างมีคำถาม

จะให้ทำอย่างไร…แต่เราก็ไม่เคย ถ้าพระองค์ไม่เรียกก็ไม่เข้าเฝ้าฯ เรียก หาก็เข้าเฝ้าฯ เรื่องอ้าง เรื่อง ข่าวลือ มันมีมาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว สมัยรัชกาลที่ 5 ก็มีเรื่องหยุมหยิม เรื่องมูลฝอย ผมเคยอ่านหนังสือ สมัยรัชกาลที่ 5 ทรงมีรับสั่งว่า "เลิกนินทากันซะทีเถอะ" ขอให้พอทีเถอะ ข่าวโกหกคนโง่ก็เป็นเหยื่อ คน ฉลาดฉุกคิดได้ก็รอดไป เป็นเรื่องมนุษย์ บ้านเมืองวุ่นวาย เหมือนเชื้อโรค ย่อมมีอยู่รอบตัวเรา สำคัญว่ามี คนเชื่อหรือเปล่า…ทำไมถึงเชื่อกันง่าย

เมื่อสถาบันถูกกระทบกระเทียบจากฝ่ายต่างๆ "ข้าแผ่นดิน" ที่ตามรอยเส้นทางเสด็จฯ ยังคงก้มหน้าก้มตา เดินตามทาง แห่ง "พ่อ" ของแผ่นดิน

 

ก็ต้องทำหน้าที่ ไปสอน ไปอบรม ไปพูด คนตีกันก็ห่วง พอห้ามตีกันก็โดนด่ากลับ มา ผมไม่เข้าใจคนในสังคมนี้ เราบอกให้สงบ เลิกทะเลาะกัน ก็ด่าเราอีก

 

"ดร.สุเมธ-คนกลาง อำมาตย์ 100 เปอร์เซ็นต์"

"ผม เป็นอำมาตย์ 100% ในชีวิตไม่เคยทำอะไร นอกจากเป็นข้าราชการ อำมาตย์ก็คือข้า ราชการ มียศ มีศักดิ์ ใช่…แล้วไง แล้วตอนบ้านเมืองจน มุม ก็มีแต่พวกอำมาตย์กู้ชาติ ถ้าผมตายก็ตาย ไม่รู้จะเตือนอย่างไร จำนวนคนอวิชชามันเยอะ ถ้าเขาฟัง ก็ฟัง เขาด่าเราก็ไม่ด่าตอบ ทำตามบทบาทหน้าที่ ทำได้เท่านี้ แล้วก็ทำไม่เคยหยุด เสาร์-อาทิตย์ ก็ทำงาน"

 

ถ้าจะให้เตือน มีอย่าง เดียวคือ ไม่ต้องห่วงใคร ถ้า มีสติ ห่วงตัวเองเท่านั้นแหละ ถ้ามีสติ จะรู้ตัวว่าตัวเองยืนอยู่ตรง ไหน หรืออยากจะเป็นคนอพยพ อยากอยู่ที่โน่น ที่นี่ ก็เชิญ ผมอยากอยู่ที่นี่ อยากให้ลูกหลานอยู่ที่นี่ ใครจะสร้างรัฐ ใหม่ ไปอยู่รัฐใหม่ เรา ไม่ไป เราจะอยู่รัฐเก่านี่แหละ

คนที่เรียกร้องคนกลางมาแก้ปัญหา เราก็สุดปัญญาจะอธิบาย คนกลางก็มีแล้ว มีหมดทุกอย่าง มีเครื่องมือครบ แต่ก็ไม่อยากจะซ่อมกัน ปล่อยให้ เครื่องมือเสีย

เพราะฉะนั้น สื่อเอง แหละที่ต้องทบทวนตัวเอง มีหน้าที่พร้อมมูล คนกลางพูดไปเถอะ ไม่มีมรรคผลหรอก คนกลางออกมา คนฟังก็อาจจะมี คนไม่ฟังก็อาจจะมี ถ้าสื่อจับมือ กันกระหน่ำคนที่ทำผิด พักเดียวก็อยู่ ตอนนี้สื่อไม่มีเอกภาพ แต่ถ้าลอง พร้อมใจกันหยุดทำมาหากินสักพัก แล้วเห็นใคร บ้าๆ บอๆ ก็กระหน่ำให้ อยู่…ขุดโคตรมาเลย รับรองทุกอย่างจะเข้าที่ โดยเร็วที่สุด ดังนั ้นสื่อนั่นแหละคนกลาง

 

ผมคาดหวังในพลังของสื่อมาก ต้องนำมาใช้ในทาง positive ที่ผมพูดนี้ พูดโดยบริสุทธิ์ใจ ผมเสนอว่าลองหยุดสัก 6 เดือน เป็นสื่อกู้ชาติ

"พระเจ้าอยู่หัวท่านทำร้ายใคร…ไม่มี ท่านทรงอยู่เฉยๆ"

ประชาธิปไตย เขาสอนหรือ ว่าให้อยู่เฉยๆ เวลาเห็นคนโกง การมาตามประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นให้เขากินกันอย่างนั้นหรือ แล้วมาบ่นกันทำไม…น่าเศร้า

 

"โดนโจมตีว่าเป็นอำมาตย์ แล้วจะ ให้ผมทำอย่างไร ผมก็เป็นผม ผมเป็นอำมาตย์ ผมจะเจียระไนให้ดูว่า อำมาตย์คนนี้ทำอะไรบ้าง เป็นคนทำ งานพัฒนาชนบท เคยออกรบ โดด ร่มกลางป่า ก็อำมาตย์ทำทั้งนั้น ตอนนี้เป็นอดีตอำมาตย์ที่เกษียณ แต่ ยังกินเงินเดือนอำมาตย์อยู่ รับเงินเดือนทุกเดือน ใครมาด่าเราก็ปลง เราไปช่วยเขา แท้ๆ"

 

ในช่วงสองสามปีมานี้อำมาตย์โดนวิพากษ์ วิจารณ์มากเป็นพิเศษ แต่ "ดร.สุเมธ" บอกว่า "ผมอยู่ตรงกลางจริงๆ แดงก็ด่า เหลืองก็ด่า ทั้งๆ ที่อยู่ตรงกลางที่สุดแล้ว ผมก็ทำงานไป จะเอาอะไรไปตอบโต้ ใครเดือดร้อนก็ไปช่วย อย่าพะวง ว่าจะโดนด่า พระพุทธเจ้ายังถูกนินทา โดนทำร้ายด้วย แล้วเราจะเหลืออะไร"

"คนที่พูดคำว่า จงรัก ภักดี คำที่ดีที่สุดคือ สติ เหนือสิ่งอื่นใด ทุกวันนี้สติหด หาย ขาด ถ้า มีสติ มีศีล มีปัญญา ฉลาดรอบคอบ ก็ไม่ทำให้ใครเดือด ร้อน เพราะฉะนั้น คนใน สังคมต้องมีสติ อย่าขาดสติ จะให้เราเข้าใจที่สุด"

คำต่อคำของอำมาตย์ ๑๐๐% จบสมบูรณ์ ๓ ครับ หัวข้อสำคัญของวันนี้ อ่านทบทวนกันให้ดี ผมจะไม่หยิบตรงไหนมา สรุป เพราะถึงเวลาที่ทุกคนต้อง "สรุป-ด้วยใจ" ตัวเองกันแล้ว.

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ..

อดีตนายกฯอานันท์พูดถึง’เสื้อแดง’-‘ทักษิณ’-‘สถาบันกษัตริย์’-‘อภิสิทธิ์

25 มี.ค.

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 มีนาคม 2553 03:05 น.

เอเชียไทมส์ออนไลน์ – “อดีตนายกฯอานันท์” ให้สัมภาษณ์ ฮาซีนะห์ โคยาคุตตี ผู้สื่อข่าวอิสระ และนำออกเผยแพร่ทางเว็บไซต์เอเชียไทมส์ออนไลน์ โดยใช้ชื่อเรื่องว่า “A royalist speaks in Thailand” ในการให้สัมภาษณ์คราวนี้ นายอานันท์ ปันยารชุน ได้ให้ความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ อย่างกว้างขวาง ทั้งเรื่องการประท้วงของ “เสื้อแดง” , โอกาสที่จะกลับมาของ “ทักษิณ”, สถาบันกษัตริย์ในประเทศไทย, ไปจนถึง ผลงานของนายกฯอภิสิทธิ์ และความเป็นไปได้ที่จะเกิดการรัฐประหารอีก


        
       ต่อไปนี้ เป็นส่วนหนึ่งของสิ่ง ที่เอเชียไทมส์ออนไลน์นำออกเผยแพร่
       
       
เอเชียไทมส์ออนไลน์ (Atol): เรื่องการประท้วงของแนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)สวมเสื้อแดงในตอนนี้
       
       
นายอานันท์ ปันยารชุน: พวกเขาคงอยู่ในสภาพหมดมุกหมดไอเดียแล้ว และก็ไม่มีคณะผู้นำด้วย คน 3-4 คนเหล่านี้ (ผู้นำของ นปช. ได้แก่ นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายวีระ มุสิกพงศ์) มีแต่ตีโวหารตลอดเวลา พวกเขาไม่มีเครดิตไม่มีความน่าเชื่อถืออะไรเลย บางคนในค่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งได้รับความเชื่อถือมากกว่า ก็ไม่เคยออกหน้ามาเลย
       
       (อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.) ชวลิต (ยงใจยุทธ) หายหน้าไป (อดีตรองผู้อำนวยการ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน) พล.อ.พัลลภ (ปิ่นมณี) อยู่ที่ไหนล่ะ ไม่มีใครออกมากันเลย ผมคิดว่าในความคิดของ พล.อ.ชวลิตนั้น เขาทราบดีว่ามันเป็นการต่อสู้ที่มีแต่ต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน การชุมนุมเดินขบวนพวกนี้น่ะ และพวกเขาก็คงต้องใช้เงินไปเป็นจำนวนมากแล้ว
       
       ผมคิดว่าความลำบากสำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ตรงที่ว่า ในช่วงเวลาประมาณหนึ่งปีที่ผ่านมา เขามีแต่คนของเขาเองเท่านั้นที่อยู่แวดล้อมตัว เขาได้แต่พูดกับ “พวกที่เข้ารีต” พวกเข้ารีตเหล่านี้ก็มีอยู่หลายชนิดนะ พวกเข้ารีตจริงๆ บางคนที่กระดิกหางและยกย่องบูชา พ.ต.ท.ทักษิณจริงๆ แต่ก็มีพวกเข้ารีตอีกมากมายที่ทำไปเพื่อวาระส่วนตัวของพวกเขาเอง, เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเอง, ผลประโยชน์ทางการเงินของพวกเขาเอง ดังนั้น เขาจึงได้ฟังแต่เรื่องราวเพียงด้านเดียวเท่านั้น ผมแน่ใจว่าเขากำลังถูกชักนำไปในทางที่ผิดจากพวกผู้นำเหล่านี้ ผู้ซึ่งเอาแต่พูดว่าพวกเขาสามารถทำการต่อสู้ในสงครามชนิดที่จะเป็นสงคราม ครั้งสำคัญมากๆ เป็นสงครามครั้งที่จะตัดสินชี้ขาดแน่ๆ
       
       สำหรับพวกลูกเล่นชวนขำและตื่นเต้นโลดโผนอะไรที่เอาออกมาใช้กันทั้ง หมดนี่นะ พวกเขาอย่างน้อยที่สุด ผมก็จะต้องให้เครดิตแก่พวกเขานะ … ผมคิดว่าพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนการเล่นโวหารของพวกเขาให้กลายเป็นการกระทำที่ รุนแรง ผมคิดว่าในส่วนของพวกเขามีการบันยะบันยังกันในบางระดับ เบื้องหลังฉากก็มีการติดต่อสื่อสารกันอย่างสม่ำเสมอระหว่างพวกผู้นำของขบวน การนี้ กับพวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบ ทั้งในเรื่องวิธีการคลี่คลายสถานการณ์ ตลอดจนวิธีบรรเทาปัญหาบางอย่างที่อาจส่งผลกระทบกระเทือนการดำเนินชีวิตประจำ วันของประชาชน
       
       
Atol: เกี่ยวกับวาระที่แท้จริงของพวก นปช.
       
       
นายอานันท์: มีบางเรื่องบางประเด็นปัญหาที่พวกเสื้อแดงหยิบยกขึ้นมา ในทัศนะของผมแล้ว ผมเห็นว่ามีเหตุมีผลสมควรรับฟังนะ แต่ปัญหาเหล่านี้ได้เกิดขึ้นมานานแล้วในประวัติศาสตร์แห่งการปกครองตามระบอบ ประชาธิปไตยของเรา และปัญหาเหล่านี้ก็มีอยู่ในสังคมอื่นๆ ในประเทศอื่นๆ ทั้งหลายด้วย
       
       ปัญหาอย่างเรื่องช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่ถ่างกว้างออกไป ทุกที, โอกาสอันไม่เท่าเทียมกัน ประเด็นปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เพิ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่ และก็ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นในประเทศไทยในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง ทุกๆ รัฐบาลต่างได้พยายามที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ทว่าไม่มีใครหรอกที่สามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว
       
       ผมคิดว่ามีความระแวงสงสัยกันอย่างลึกซึ้งทีเดียว ไม่ว่าความระแวงสงสัยนี้จะถูกหรือผิดก็ตามที ว่าพวกเสื้อแดงมีประเด็นอื่นๆ อีกบางอย่างที่เป็นวาระซ่อนเร้นเอาไว้ ผมคิดว่ามีความสับสนในเรื่องนี้ โดยที่มีประเด็นปัญหาที่ชอบธรรมสมเหตุสมผล และก็มีปัญหาที่เราควรจะเรียกว่าเป็นประเด็นที่ไม่ชอบธรรมไม่สมเหตุสมผล
       
       เมื่อพวกเขาพยายามที่จะกระตุ้นยั่วยุการชุมนุมเดินขบวนนี้ให้กลาย เป็นความเคลื่อนไหวของสงครามทางชนชั้น นี่จะไม่ได้ผลหรอกในประเทศไทย พวกคอมมิวนิสต์ได้เคยพยายามมาแล้วเมื่อ 25 ปีก่อน มันจะไม่ได้ผลก็เพราะไม่ได้มีเรื่องแบบที่ว่าเลย ประเด็นปัญหาหลักๆ คือเรื่องของ น้ำ, ถนนหนทาง, การสาธารณสุข, การศึกษา ต่างหากล่ะ
       
       
Atol: เกี่ยวกับสภาพการณ์ที่จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณสามารถเดินทางกลับประเทศไทยในวันหนึ่งข้างหน้า
       
       
นายอานันท์: ผมไม่เห็นว่ามีโอกาสอะไรนักหรอกที่เขาจะได้กลับมา ผมไม่ค่อยแน่ใจว่ายุทธศาสตร์ของเขาเป็นยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องแล้ว เขาเป็นคนที่น่าคบหาคนหนึ่ง ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรในการติดต่อกับเขา ทว่าในระยะสองปีมานี้ เขาถูกรับรู้ถูกเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นความรับรู้หรือความเข้าใจที่ถูกหรือผิดก็ตาม ว่าเขาได้ไปไกลจนเลยจุดที่สามารถหวนกลับมาได้แล้ว ทั้งในแง่คำพูดของเขา ในแง่การกระทำของเขา
       
       ประชาชนคนไทยยอมรับไม่ได้หรอก เมื่อตรงนี้เรามีบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งในทัศนะของคนจำนวนมาก เห็นว่าเป็นคนหลบหนีคดี เป็นบุคคลซึ่งในทัศนะของคนจำนวนมาก เห็นว่าเป็นคนทุจริตคดโกง เป็นบุคคลซึ่งในทัศนะของคนจำนวนมาก เห็นว่าเป็นคนที่หลักความประพฤติมีความบกพร่อง การที่เขาพาตัวเองไปตั้งป้อมอยู่นอกประเทศ แล้วทำการยุยงเพื่อที่จะฟื้นคืนสู่อำนาจในประเทศไทย ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้
       
       เมื่อคิดไปแล้ว ก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะเมื่อตอนที่เขาขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก ผมเคยตั้งความหวังไว้สูง ว่าเขาสามารถที่จะเป็นนักการเมืองคนสำคัญมากๆ ผู้ซึ่งสามารถนำประเทศชาติไปในทิศทางใหม่ และก็เป็นผู้ซึ่งสามารถผลักดันประชาธิปไตยในประเทศไทยให้ก้าวไกลไปอีก ทว่านับเป็นโชคร้าย เขาดูจะถูกครอบงำด้วยผลประโยชน์บางสิ่งบางอย่าง
       
       
Atol: ในเรื่องความเป็นไปได้ที่จะมีการพระราชทานอภัยโทษให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อทำให้เกิดความปรองดองในชาติ
       
       
นายอานันท์: ไม่ว่าอะไรก็ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทรงตรัส ล้วนแต่ต้องอยู่ภายในขอบเขตสิทธิตามรัฐธรรมนูญของพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญในทุกๆ มาตราอย่างเคร่งครัดยิ่ง และแน่นอนทีเดียวว่า การดำรงพระองค์ในฐานะเป็นพระมหากษัตริย์หรือพระมหาราชินี ย่อมจะต้องมีเอกสิทธิ์ 3 ประการ ซึ่งได้แก่ หนึ่ง สิทธิที่จะทรงได้รับการปรึกษาหารือ, สอง สิทธิที่จะทรงแนะนำส่งเสริม, และสาม สิทธิที่จะทรงตักเตือน
       
       
Atol: เกี่ยวกับราชวงศ์จักรีในอนาคตข้างหน้า
       
       นายอานันท์:
 ในช่วงเวลาที่มีความสงบสันติมากกว่านี้ สถาบันพระมหากษัตริย์ก็กำลังมีการปรับตัวอยู่อย่างสม่ำเสมอ ระบบพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยนั้นหยั่งรากอย่างลึกซึ้งอยู่กับเรื่องความ สูงส่งน่าเกรงขาม, ในเรื่องแบบแผนและพิธีกรรม, ในพิธีการอันยิ่งใหญ่โอ่อ่า ก็เหมือนกับในญี่ปุ่น ก็เหมือนกับในอังกฤษเมื่อสัก 100 หรือ 200 ปีก่อน อังกฤษมีโอกาสดีกว่าในการวิวัฒนาการตนเองกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในระยะ 20 ปีที่แล้ว
       
       และเมื่อคุณตัดช่วงเวลาให้สั้นลง คุณก็จะต้องให้ความยุติธรรมกับเราเหมือนกัน บางครั้งเราไม่สามารถไปอย่างรวดเร็วอย่างที่ผู้คนต้องการ ประชาชนส่วนข้างมากอย่างท่วมท้นทีเดียวมีความเคารพเทิดทูนและความจงรักภักดี ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราและรัฐธรรมนูญของเราอย่างลึกซึ้ง ประชาชนส่วนข้างมากอย่างท่วมท้นที่ว่านี้ ก็คือประชาชนจำนวน 95% ขึ้นไป เราสามารถที่จะรักษาระดับขนาดนี้เอาไว้ได้ไหม ผมขอคิดแบบอิงความเป็นจริงนะ คงไม่สามารถรักษาไว้ได้หรอก
       
       ผมคิดว่าถ้าคุณจัดทำโพลในอังกฤษ โดยถามประชาชนว่าพวกเขาต้องการสถาบันกษัตริย์หรือไม่ บางทีเปอร์เซ็นต์ของคนที่ตอบรับอาจจะอยู่ที่ประมาณ 42% แต่ผมมั่นใจว่าในประเทศนี้มันยังคงอยู่ที่ 80-90% และในจำนวน 80-90% นี้ ยังมีบางส่วนที่เป็นพวกผู้นิยมระบอบราชาธิปไตย (monarchist) อย่างแท้จริง หรือเป็นพวกนิยมกษัตริย์ (royalist) อย่างแท้จริง ซึ่งมีความจงรักภักดีอย่างมากๆ อาจจะระหว่าง 40 หรือ 50 หรือ 60% ทีเดียว สำหรับส่วนที่เหลือก็ไม่ได้เห็นว่าเป็นความเสียเปรียบอะไรที่จะมีชีวิตอยู่ ภายใต้สถาบันพระมหากษัตริย์
       
       
Atol: เกี่ยวกับผลงานของนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
       
       
นายอานันท์: ในช่วง 6 เดือนแรก เขาถูกมองว่าพยายามแสดงความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ และเขาก็ถูกมองว่าอ่อนข้อมากเกินไปให้แก่พวกที่ เราน่าจะเรียกว่า คนที่น่ารังเกียจภายในรัฐบาลของเขาเอง และแน่นอนทีเดียวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะคาดหวังว่าเศรษฐกิจกำลังดีขึ้นมาอีกครั้งแล้ว แต่ตอนนี้หลังจากผ่านไปปีกว่าๆ เศรษฐกิจก็ดูเหมือนส่งเสียงดังอยู่เป็นพักๆ ว่ากำลังออกมาจากภาวะถดถอยแล้ว
       
       
Atol: เกี่ยวกับโอกาสที่จะเกิดการรัฐประหารยึดอำนาจขึ้นมาอีก
       

       
นายอานันท์: กองทัพไม่ได้โง่เขลาถึงขนาดนั้นหรอก พวกเขารู้ดีว่าพวกเขาพลาดท่าเสียทีที่ทำรัฐประหารในครั้งหลังสุด และการรัฐประหารครั้งต่างๆ ในอดีตที่ผ่านมาก็ไม่เคยเลยที่จะสามารถแก้ไขปัญหาของประเทศชาติได้

บทกวีแด่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ในวาระเปิดพรรคการเมืองใหม่

23 ม.ค.

๙ ที่กล้าของ ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’
       
                       — ๑ —
       หน้ากลมกลม ร่างก็กลม สูงสมส่วน
       ดูไม่ผอม ไม่อ้วน แต่เอิบอิ่ม
       ผิวขาวขาว สมค่าคน “แซ่ลิ้ม”
       แย้มและยิ้มยามใครได้พบพาน
       ยุรยาตรย่างก้าวดุจเจ้าพยัคฆ์
       หยัดยืนท้าสง่าศักดิ์ดั่งคชสาร
       เพ่งมองเรื่องราวรุดดุจเหยี่ยวทะยาน
       ล้วงลึกข่าวฉาวฉานดั่งหนอนไช
       เคี่ยวตำราประวัติศาสตร์มาสูงส่ง
       แต่ทะนงเดินขึ้นหอคอยได้
       จึงเลือกสื่อสานฝันอันอำไพ
       ทุ่มกายใจให้สังคมอุดมการณ์
       
                  
 — ๒ —
       
เมื่อเชี่ยวสื่อจึงคิดสร้างสำนักสื่อ
       จนร่ำลือเรื่องราวให้เล่าขาน
       ในเชิงรุกปลุกปั้นชั้นเชิงชาญ
       สร้างตำนานสื่อมวลชนนำประชา
       จาก “ประชาธิปไตย” ได้สืบสาน
       สู่อาณาจักร “ผู้จัดการ” แกร่งกล้า
       ยึดอุดมการณ์มั่นเทิดจรรยา
       จึงเป็นตักกะศิลาร่ำลือไกล
       ในยุคโลกาภิวัตน์ จัดจ้าน
       ก็ก้าวผ่านสานสื่อได้สมสมัย
       เติมโลกไซเบอร์ล้ำนำเจียระไน
       ยิ่งใหญ่ในนาม “เอเอสทีวี”
       
                   
 — ๓ —
       
คือ “ลูกจีนรักชาติ” ประกาศชัด
       เทิดศาสน์-กษัตริย์ เหนือเกศี
       “ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง” เปล่งวจี
       ประกาศทั่วธรณีพร้อมพลีชีวิต
       ผู้จุด “เทียนแห่งธรรม” นำประชา
       เทียนต่อเทียนจรัสจ้าทุกดวงจิต
       ก้อง “เพลงเทียนแห่งธรรม” ทุกสารทิศ
       หลอมชนร่วมภารกิจกู้บ้านเมือง
       ผู้ก่อเกิด “ปรากฏการณ์สนธิ”
       ปัญญาผลิดอกผลจนลือเลื่อง
       ปลุกผู้คนลุกขึ้นสู้อยู่นองเนือง
       ต่อเนื่องเป็น “พันธมิตรฯ” พิชิตมาร
       
                      
— ๔ —
       คือ “พ่อหมอ” ดูมากมนต์เป็นคนขลัง
       แท้มากคลังความรู้ลึกผนึกผสาน
       ใช้ความจริงจับเค้าลางร่างเหตุการณ์
       ทำนายทายทักทานสะท้านสะเทือน
       จาก “เมืองไทยรายสัปดาห์” กล้าชี้แนะ
       ยก “ลูกแกะหลงทาง” ถูกสร้างเงื่อน
       รุมสะกำระห่ำบ้าและบิดเบือน
       อย่างป่าเถื่อนถ่อยสถุลสุดรุนแรง
       ต้อง “สัญจร” ร่อนเร่ระเหระหก
       เหนือออกตกกลางใต้หลายหล้าแหล่ง
       อาศัยสวน “ลุมพินี” ที่สำแดง
       อาสัยแสง “ธรรมศาสตร์” สาดส่องทาง
       
                   
— ๕ —
       “ต้องแพ้เสียก่อนจึงจะชนะ”
       คืออมตะวาทะที่อิงอ้าง
       หนังสืออัตชีวประวัติวาง
       แนวถากถางสร้างสังคมอุดมชัย
       เคยต่อกรเผด็จการทหารกล้า
       จึ่งพฤษภาทมิฬไม่เกรียมไหม้
       แต่ตัวตนต้องหลบลี้ต้องหนีภัย
       นำทุกสิ่งสะสมไว้ใช้เดิมพัน
       และเคยถูกถล่มด้วยคมอาวุธ
       จากเหล่าสารเลวสุดร่วมลงขัน
       ดีที่ธรรมยังค้ำคุ้มคนครองธรรม์
       แค่สาหัส ใช่สากรรจ์ขั้นตกตาย
       
                    
— ๖ —
       เมื่อโครตโกงโกงกินกันทั้งโครต
       สมุนโฉดก็ฉ้อฉลอย่างล้นหลาย
       ใครคัดค้านถูกฆ่าเข่นเช่นวัวควาย
       แถมยังขายชาติได้ง่ายดายนัก
       จึงเกิด “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ทุกถิ่นที่
       ลุกขึ้นป้องปฐพีเป็นที่ประจักษ์
       “กองทักธรรม” นำทัพร่วมพิทักษ์
       ธงธรรมชักนำประชาเข้าฝ่าฟัน
       “เอาประเทศไทยของเราคืนมา”
       กัมปนาทประกาศกล้าอย่างเต็มกั้น
       มหากาฬย์แห่งยุคอารยัน
       ไล่เผ่าพันธุ์พวกอนารยชน
       
                   
 — ๗ —
       
คือต้นเสียง “ท้า.า.า..ก..ษิณ ออกไป”
       นำขับไล่ทรราชอุบาทว์พ้น
       กระหึ่มดังทั้งแผ่นดินได้ยินยล
       แถมยังพ่นบนมือถืออื้ออึงไป
       “เราจะสู้เพื่อในหลวง” ของปวงราษฎร์
       นำทั้งชาติประกาศแจ้งแถลงไข
       ให้เสาหลักปักค้ำไทยให้คงไท
       คงมั่นไว้ชั่วลูกหลานอย่าร้างรา
       คือผู้นำถือธรรมกระทำชัด
       เป็นต้นแบบปฏิบัติอุบัติจ้า
       ดั่งที่เปรย “เงยหน้าไม่อายฟ้า”
       แลถึงครา “ก้มหน้าไม่อายดิน”
       
                   
— ๘ —
       ในท่ามกลางการเมืองเก่าที่เน่าเฟะ
       โกงกันเละกินกันเลอะเปอะไปสิ้น
       นักการเมืองทำเขื่องขู่อยู่อาจิณ
       ข้าราชการร่วมกังฉินอย่างยินยอม
       จึงเกิด “การเมืองใหม่” ไล่ของเก่า
       ล้างน้ำเน่าฉาวโฉ่ ให้โอ่หอม
       ผู้นำธรรมชำระคราบความจอมปลอม
       แล้วหลอมผู้ดีพร้อมเข้าสภาฯ
       “ซื่อสัตย์ เสียสละ กล้าหาญ ทำงานเป็น”
       คือคุณสมบัติเฟ้นคนเห็นค่า
       ยอมเปลื้องตนเปลืองตัวเกลือกกลั้วทา
       วาดหวังยกจิตวิญญาประชาไทย
       
                   
 — ๙ —
       จากนักประวัติศาสตร์สู่สร้างประวัติศาสตร์
       มุ่งหยุดมาร-การเมืองอุบาทว์บ้าเบื่อใบ้
       ตัดวงจร “สี่วินาทีประชาธิปไตย”
       ในนาม “พรรคการเมืองใหม่” ของมวลประชา
       จากเชื้อสายเจ้าของสื่อสู่สร้างสื่อ
       มุ่งมั่นถือ “ตะเกียงธรรม” ส่องนำหล้า
       จนร่ำลือคือ “โมกุล” หมุนโลกา
       ปั้น “ค่ายสื่อแห่งศรัทธามหาชน”
       จากเลือดทัพมังกรถิ่นสุโขทัย
       บ่มรู้ใต้ปีกอินทรีย์มิสับสน
       “ภูมิปัญญาตะวันออก” ตอกตรึงตน
       ตอกย้ำความเป็นคนของสังคม
       ————————————-
       ตอกตรึงใจไทยท้นท่วมแผ่นดิน
       ————————————-
       ตอกต่อท้นข้นเข้มเต็มแผ่นดิน
       
       
         ภู-ติ-รัก
       

              ๑๘ / ๑ / ๒๕๕๓



ฝุ่นฟ้าฝากฝัน ตอน… กลียุค

23 พ.ย.


สองทุ่มกว่าๆ ประเสริฐนั่งอ่านหนังสือที่ยืมมาจากที่อ่านหนังสือพิมพ์ประจำหมู่บ้าน
เจ้าจุกกับน้องนั่งขีดเขียนทำการบ้านอยู่อีกมุมห้อง ส่วนเครือวัลย์หลังจากล้างถ้วยชามแล้วเสร็จ
ก็เอาเสื้อที่ถูกหนามเกี่ยวฉีกขาดพร้อมผ้าเศษผืนน้อยออกมานั่งปะ

"โปรดเลือกนายเสือ พรรคดอกไม้
คนดี ใจซื่อมือสะอาด เข้าไปเป็นปากเสียงแทนท่านในสภา" ไม่ทันขาดเสียงพรรคนี้
เสียงโฆษณาจากรถของผู้สมัครส.ส.พรรคใบมีดโกนก็ดังแว่วมาแต่ไกล "ผมขอเข้าไปรับใช้สานงานต่ออีกครั้ง
คนซื่อมือสะอาดจริงจัง จริงใจไม่ผิดหวัง"

ไม่ถึงชั่วโมงเสียงหมอลำกลอน แจงนโยบายของพรรคปลาไหลจากผู้สมัคร
คือนายกระทิงก็ดังผ่านเลยไปอีก ตามมาด้วยเสียงของนายแรดผู้สมัครพรรคแสบ
"โปรดเลือกผมนายแรด ลูกหลานของบ้านเฮาเข้าไปเป็นผู้แทนของท่าน พบง่ายใช้คล่อง"

"ยุบสภาทีไร พวกสมัครส.ส. ต่างออกมาหาเสียงกันวุ่น
ที่จริงพวกเขามาแจกเสียง ทั้งเสียงสดเสียงจริงตัวจริง และเสียงแห้งอัดเทปจะถูกต้องกว่า
เครือวัลย์บ่นอย่างรำคาญ ประเสริฐยิ้ม "ผู้ลงสมัครส.ส. ทั้ง ๔ คน ในเขตเรานั้น
ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งส.ส.ผู้นำสังคมเลยสักคน บางคนเป็นนักการพนัน บางคนก็เจ้าชู้ประตูดินญาติกับพระยาเทครัว
บางคนเป็นนายทุนรับเหมาคดโกงมาก่อน ฉันต้องจำใจไปใช้สิทธิกาบัตรช่องไม่ลงคะแนน
เพราะฉันไม่อยากจะเลือกพวกสี่คนนั้น แล้วคนที่ดีมีอุดมการณ์ทำไมไม่มาลงสมัครให้เลือกบ้าง
หรือบ้านเราไม่มีคนที่ดีกว่านี้

"เรื่องนี้วัลย์อย่าไปพูดที่อื่นนะ
เดี๋ยวชาวบ้านจะหาว่าบ้า"


"ทำไมเขาจะว่าบ้า ก็วัลย์พูดความจริง" วัลย์ยังข้องใจ
ประเสริฐเหลือบไปเห็นเจ้าจุกทำตาปรือๆจะหลับ จึงบอกให้พาน้องเข้าไปนอนก่อน
แล้วหันมาคุยกับเครือวัลย์ต่อ "ที่จริง" ในยุคสมัยนี้
อาจจะตรงกับที่พระพุทธองค์ได้ทรงทำนายความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศลไว้ "
ประเสริฐหยิบหนังสือพุทธทำนาย ที่ท่านชาตวโร ได้เขียนรวมเล่มไว้
อ่านตอนที่สิบสองและสิบสาม แล้วสรุปให้ฟัง


"ในสมัยนี้จะพูดว่ายุคกระเบื้องเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยกลับถอยจม
หน้ามือกลับเป็นหลังมือ หรือเป็นยุคของผู้ดีเดินตรอกขี้ครอกเดินถนน
ดังเช่นพระที่ท่านปฏิบัติดีหลายรูป ท่านถูกใส่ร้ายป้ายสีว่า
เป็นผู้ทำผิดวินัยเป็นอาจิณ
เป็นมารเป็นเดรัจฉานเป็นผู้จะมาทำลายสังคมและศาสนา
ตรงกันข้ามมีพระอยู่หลายรูปที่ได้ประพฤติผิดร้ายแรงถึงขั้นปาราชิกยังคงห่ม
จีวร ลอยชายอยู่ในสังคม หรือคนดีและข้าราชการที่มุ่งทำงานอย่างสุจริต
ก็ถูกผู้มีอำนาจที่ไร้ศีลธรรม จ้องทำลายล้างอย่างไม่ปรานี
ยุคนี้จึงเป็นกลียุคแล้วคงจะไม่ผิด" ประเสริฐหยุดพูด
เพราะเสียงโฆษณาหาเสียงของนายเสือพรรคดอกไม้ ดังแทรกเข้ามาอีกครั้ง

ภาพอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนในหมู่บ้าน
ผุดขึ้นในความทรงจำของเครือวัลย์ เพราะประพฤติตัวชอบกินเหล้าเจ้าชู้ และชอบการพนันอย่างพวกนักเลงหัวไม้ประจำคุ้ม
ทั้งที่เป็นครูเป็นปูชนียบุคคล

"ตอนไปงานวัดเมื่อช่วงออกพรรษา
พี่ได้พบกับทนายคนหนึ่งชื่อ ธน ท่านบอกว่า ไปว่าความพันครั้ง คิดว่าอาจชนะพันครั้ง
เพราะเป็นทนายย่อมรู้เรื่องกฎหมายดี หากคดีความที่ผิดศีลธรรม ก็แนะนำให้เขามอบตัวจะไม่แก้ต่างให้
แต่คดีเรื่องใดไม่ผิดศีลธรรม แม้จำเลยเป็นคนยากจน ท่านก็เต็มใจช่วยเหลือว่าความให้ฟรีๆ
ตั้งหลายคน ท่านเป็นทนายมาเกือบจะยี่สิบปีแล้วหละ" ประเสริฐยกให้เห็นว่า
คนดีก็ยังพอมีในสังคม

"แล้วคนดีๆ แบบนี้ทำไมไม่ยอมมาลงสมัครส.ส.ในเขตของเราบ้างล่ะพี่"
เครือวัลย์ถาม

"ก็ในเขตเลือกตั้งอำเภอเรา ส.ส.ที่ได้รับเลือกตั้งมาตลอดนั้น
เขาใช้เกมคุมพื้นที่ไว้ หากมีคนดีไปลงสมัคร ส.ส. เจ้าของพื้นที่ก็จะใช้อำนาจมืดบีบ
ในที่สุดก็ถอนตัวออกไป และเขาจะซื้อคะแนนด้วยการมอบเงินให้หัวคะแนนประจำหมู่บ้าน
นำไปช่วยงานศพ งานแต่งงาน งานบวชและงานเทศกาลประจำปีต่างๆ ไม่ต่ำกว่างานละ
๑,๕๐๐ บาท ส.ส.คนเก่าจึงเป็นคนดีมีเมตตาในความคิดของชาวบ้านทั่วไป หากวัลย์ไปว่าเขาเป็นคนไม่ดี
ชาวบ้านก็จะว่าบ้า เพราะเขาสร้างภาพเก่ง ทั้งที่ถนนทุกสายไม่ว่าคอนกรีต
หรือยางมะตอยในหลายหมู่บ้านทำเสร็จไม่ทันถึงปีก็ทรุดแล้ว เพราะบริษัทรับเหมาก็เป็นของส.ส.เจ้าเก่านี่แหละ
ข่าวว่าที่จริงถนนแต่ละสายใช้งบไปไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ อีกครึ่งเข้ากระเป๋าไป

"คนไม่ดีจึงมีเงินซื้อเสียงกันอย่างเต็มที่
ทั้งชาวบ้านส่วนใหญ่ก็เข้าใจว่าผู้สมัคร ส.ส. ทุกคนนั้นมีความชั่วความดีไม่ต่างกัน
ต่างคนก็คิดเข้าไปหาผลประโยชน์เหมือนกัน ใครมีเงินมาให้จึงได้คะแนนคืนไป

"แต่ที่ยอดแย่พอๆกันก็คือ ชาวบ้านส่วนใหญ่
ก็ไร้ศีลธรรม ชอบกินเหล้าเข้าวงพนันไม่แพ้กัน เป็นผัวเมียกันแต่ประพฤตินอกใจกัน
หลายคนไม่สนใจอนาคต เอาแต่เที่ยวกินสูบดื่มเสพย์ ถ้าคนดีมีอุดมการณ์ลงสมัครส.ส.
และไม่ซื้อสิทธิซื้อเสียง บางทีอาจถูกประณามว่า เป็นผู้สมัคร ส.ส.ที่ยอดแย่
ขี้เหนียว ไม่เอาไม่เลือกก็เป็นไปได้

"แท้จริง
คนดีมีอุดมการณ์ จะมามีบทบาทช่วยนำไปสู่ความเจริญร่มเย็นได้ ก็อยู่ที่ผู้คนในสังคมชุมชนรวมตัวนำเอาศีลธรรม
ฟื้นฟูสังคม ซึ่งมีทางนี้ทางเดียวจริงๆ"


ประเสริฐ สรุปด้วยความมั่นใจ

ขอบคุณ ฟอด เทพสุรินทร์

หนังสือพิมพ์เราคิดอะไร

ฉบับ 124 .พ.ย 2543

จุดจบประเทศไทย..ถ้าเป็นคนไทยอยู่ช่วยอ่านด้วย

19 พ.ย.

 

   ปี   2553     จุดจบประเทศไทย……ถ้ายังเป็นคนไทยอยู่ช่วยอ่านด้วย 
เรื่องนี้คนไทยทุกคนควรที่จะได้รู้ …..ประเทศต่าง ๆ ในโลกนี้มีเกิด มีดับ ตลอดเวลา……ประเทศไทยก็ไม่พ้นวิถีนี้เช่นกัน 


สืบเนื่องจากการบรรยายของคุณนิติภูมิ  เนาวรัตน์ ซึ่งเป็นสื่อมวลชน จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมอสโค
ซึ่งเป็นสถาบันที่สตาลินสร้างขึ้นเพื่อสร้างภูมิปัญญาหวังครองโลกในสมัยหนึ่ง 
เมื่อหลายปีก่อนคุณนิติภูมิ ได้ทำนายไว้ว่า ประเทศอินโดนีเชียจะแตกเป็น 6-14ประเทศ 
ซึ่งในตอนนั้น นักรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หัวเราะจนฟันกระเด็น
แต่ต่อมาพอปี 2542 เหตุการณ์เริ่มเป็นจริง! ประเทศอินโดฯได้เริ่มแตกเป็น ติมอร์ 
และตอนนี้ก็กำลังจะเกิดประเทศ อาเจะห์ และอีกหลายประเทศที่จะเกิดตามมา 


    ในวันที่ 11 ธันวาคม 2543 ที่ผ่านมาที่งานคนดีศรีสังคม ณ หอประชุมวัฒนธรรมฯ 
คุณนิติภูมิได้บรรยายว่า ประเทศไทยจะต้องแตกเป็นประเทศใหม่อีก 4 – 6 ประเทศ แน่นอน !
ทั้งนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดขึ้นอย่างมีกระบวนการ โดยสถานการณ์จะเริ่มชัดขึ้นในปี 2553
ซึ่งเป็นปีที่ข้อตกลง GATTs จะเริ่มมีผลสมบูรณ์   การค้าเสรีจะมีผลสมบูรณ์
สินค้าเกษตรต่าง ๆ จากต่างประเทศจะทะลักเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมหาศาล 

ในขณะที่เกษตรกรของไทยจะไม่กินสินค้าเกษตรของไทยด้วยกัน 
และสินค้าเกษตรของไทยก็จะขายไม่ออกเนื่องจากมีต้นทุนที่สูงกว่าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศ 
     ประกอบกับการที่การพัฒนาการเกษตรของไทยได้พัฒนาอย่างผิดทิศทาง 
เป็นการพัฒนาแบบปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทำให้คนปลูกลำใยไทยก็จะปลูกแต่ลำใย 
จะกินข้าวก็ต้องซื้อข้าวเวียดนามมากิน คนปลูกข้าวไทยก็ต้องไปซื้อหอมกระเทียมจากจีนมากิน 
คนปลูกหอม กระเทียมจะไม่ซื้อลำใยจากไทยแต่จะไปซื้อจากเกาหลีมากิน 
เป็นวงจรอย่างนี้ทำให้สินค้าเกษตรของไทยขายไม่ได้ 
เพราะแม้แต่เกษตรกรไทยด้วยกันก็ยังไม่ซื้อของเกษตรไทยด้วยกันมากิน 
เนื่องจาก สินค้าของต่างประเทศมีต้นทุนถูกกว่าสินค้าเกษตรของไทยมีต้นทุนที่สูงกว่า
เพราะใช้ปัจจัยการผลิตปุ๊ยของต่างประเทศ พันธุ์พืชก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ 

เนื่องจากในอีก 10 ปีข้างหน้าพันธุกรรมท้องถิ่นจะถูกทำลายจาก GMOs 
และเมื่อเกษตรกรไทยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ร้อยละ 80 ของประเทศอยู่ไม่ได้ 
วิกฤตที่มหาโหดสุดก็จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย  รัฐบาลไทยจะไม่มีปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาได้ 
เพราะมาตรการทางการเงินก็จะใช้ไม่ได้ เนื่องจากธนาคารไทยกลายเป็นของต่างประเทศหมดแล้ว 
ไฟฟ้าก็แพงขึ้น   น้ำมันก็แพงขึ้น โทรศัพท์แพงขึ้นเนื่องจากวิสาหกิจเหล่านี้กลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว 
เขาสามารถตั้งราคา   ได้ตามใจชอบถ้ารัฐบาลไปขอให้ลดราคาก็จะได้รับคำตอบว่าเขาจะไม่มีกำไร
ธุรกิจจะอยู่ได้ด้วยกำไรเท่านั้น  ถ้าเขาไม่มีกำไรเขาก็จะตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดโทรศัพท์
คุณเลือกเอาว่าจะยอมจ่ายในราคาที่แพงหรือว่าจะยอมไม่มีใช้ 

ดังนั้น รัฐบาลในอนาคตจะได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ ๆ เมื่อเกษตรกรไทยอยู่ไม่ได้ 
การขายที่ดินราคาถูก ๆ และจำนวนมหาศาลจะตามมา  คนที่มีกำลังซื้อก็คือชาวต่างชาติ 
ซึ่งปัจจุบันก็ปรากฏแล้วว่าที่ดินบริเวณภาคตะวันออกได้ถูกต่างชาติกว้านซื้อไปเป็นจำนวนมากแล้ว 
เกษตรกรไทยที่ขายที่ดินได้ ก็ไม่ามารถนำเงินที่ได้ไปลงทุนให้เกิดรายได้ได้ 
เพราะธุรกิจอื่นได้ตกอยู่ในกำมือของต่างชาติแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการค้าปลีกก็ตกอยู่ในมือของ Big C, Lotus,
Carrefour, ธุรกิจอาหารก็ตกอยู่ในมือของ KFC, Pizzahat, McDonal, สิ่งทอเสื้อผ้าก็ของพวกฝรั่งเศส ฯลฯ

ดังนั้น   เงินตราของไทยก็มีแต่จะถูกดูดออก   เหมือนกับคนที่เลือดไหลไม่หยุด… 
เมื่อคนจนอยู่ไม่ได้ …รัฐจะอยู่ได้ฤา ?

4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเป็นแห่งแรกที่จะขอแยกตัวออกจากประเทศไทย 
เนื่องจากความแตกต่างที่เห็นชัดเจนและความแตกต่างทางวัฒนธรรม ในปี 2553 
คนไทยภาคใต้จะเห็นด้วยกับการแยกประเทศ เพราะเห็นความล้มเหลวของรัฐบาลไทย 
การเมืองไทย การคัดค้านจะน้อยลง การสนับสนุนให้แยกจะทวีความรุนแรงขึ้น 
จนรัฐบาลไทยไม่สามารถควบคุมได้ถ้ารัฐบาลใช้กำลังทหาร  ก็จะถูกต่างชาติส่งทหารมาต่อต้านกองทัพไทย 
ซึ่งแน่นอนกองทัพไทยไม่มีปัญญาไปต่อสู้อยู่แล้ว  การแยกตัวจะสำเร็จได้ในไม่นาน 

จากนั้น ภาคตะวันออก บริเวณจันทบุรี   ตราด   ระยอง   ฉะเชิงเทรา  จะขอแยกตัวตามมา 
เนื่องจากที่ดินแถบนั้นกลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว 
เนื่องจากที่ดินบริเวณดังกล่าวถูกใช้เป็นแหล่งพันธุกรรมของต่างชาติ ทั้งสมุนไพร อาหารต่าง ๆ 
เมื่อรัฐบาลไทยเป็นอุปสรรคของต่างชาติ  การขอแยกตัวก็จะทำได้ไม่ยาก 
นั่นหมายถึง การซื้อประเทศไทย คล้ายกับที่สหรัฐอเมริกาซื้อรัฐ Alaska จาก  Russia
ถ้าไทยต่อต้าน เจอทหารต่างชาติแน่ 


เราจะเตรียมรับมือกับวิกฤติในอนาคตอย่างไร
 ? 

ผมติดตามงานเขียนคุณนิติภูมิ มาหลายปี  และสิ่งที่เขียนในไทยรัฐหน้า 2 เกือบทุกวันนั้น 
ไม่น่าเชื่อเลยว่า หนังสือพิมพ์ต่างประเทศจะเอาข้อมูลงานเขียนของนิติภูมิ 
ไปแปลลงหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ ในการวิเคราะห์ 
บ่อยครั้งที่นิติภูมิ มองการค้า การเมือง สังคมไปพร้อมกัน 
รวมทั้งประวัติศาสตร์เขามอง อาร์เจนติน่า ก่อนล่มสลายทางเศรษฐกิจ
ก่อนล่มจริง… เขาทำนาย การเกิดสงคราม อเมริกากับอิรัค ข้อคิด รวมทั้งอนาคตชาวเชเชนไว้น่าสนใจ 
ผมว่า สิ่งที่เขาพูดเป็นไปได้นิติภูมิ ทำให้ผมต้องกลับมาซื้อของโชห่วยของคนไทย 
แทนที่ไปเดิน big-c, lotus, careflour, เพราะผมบอกแม่บ้านและลูก ๆ ว่า 
เราซื้อของร้านโชห่วย ข้างบ้าน ไม่ต้องไปห้างใหญ่อีกเพราะอะไร 
เพราะเราไป คาร์ฟู เงิน 100 บาทที่เราจ่ายไปจะไปสู่ฝรั่งเศส 86 บาท เหลือให้คนไทย14 บาท
เพราะของต่างชาติเกือบ 100 เปอร์เซนต์ บิ๊กซี โลตัสเหมือนกัน


นิติภูมิเคยเอาเปอร์เซนต์ที่ต่างชาติถือหุ้นมาลงให้ดู ของ 3 ห้างดัง
ผมตกใจมาก และตัดสินใจซื้อน้ำปลาข้างบ้านตั้งแต่วันนั้น  
เพราะว่าต่างชาติถือหุ้นกว่า 90 เปอร์เซ็นต์  แล้วบางห้าง 86 ปอร์เซ็นต์ 
สอนลูกว่ามันจะแพงกว่าห้าง 3 บาท ก็ซื้อที่นี่มันจะแพงกว่า 5 บาทก็ซื้อที่นี่
เพราะมันจะเป็นภาษีคนไทย กลับมาหาลูกเอง ผมคิดแบบนี้จริง ๆ ๆ 
ถ้าซื้อจากห้าง 1,000บาท  มันไหลไปต่างประเทศ 900บาท ที่เหลือ 100 บาท 

ที่เห็นจ่ายค่ายามเฝ้าห้างไง มองอาเจนติน่าง่ายนิดเดียว
ห้างต่างชาติบุกไปตั้งมากกว่า 400 ห้าง ทั่วประเทศ
คนอาเจนติน่าจึงทำเงินส่ง คาร์ฟู ส่งห้างต่างชาติ เกือบ100 เปอร์เซ็นต์
เงินคนทั้งชาติของชาวอาเจน จึงไหลไปหมด ในประเทศจึงไม่เหลืออะไร 
ทางสุดท้ายที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าทำได้  ผมพาลูกผมหัดทานขนมกรอบให้น้อยลง 
เลิกกิน kfc และพยายามทานให้ลดลง และจำนวนหน ต่อปีน้อยสุด

ผมอธิบาย วิธีสิ้นชาติแบบทางเศรษฐกิจตั้งแต่เริ่มจนจบให้เด็กที่บ้าน และลูกฟัง
หัดให้ลูกมาทานบัวลอย ขนมชั้น ข้าวเหนียวเปียกแทน ถั่วดำข้าวเหนียว ดีครับ 
ได้ผล… ลูกเปลี่ยนวิธีกิน… วิธีคิดไปเลย … เปลี่ยนไปได้มาก
พอเย็นสั่งผมซื้อเต้าส่วนบ้าง ขนมชั้นบ้าง ลูกเดือยบ้าง 
ผมพูดนิดนึงที่เขาเข้าใจคือ ผมไปตลาดซื้อไก่ทอดแม่ค้ามา 3 ขาไก่ทอดแบบไทย ๆ 
แล้วผมไป kfc ซื้อมา 3 ชิ้น เลือกน่องครับเหมือนกัน ราคาต่างกันลิบเลย
ผมก็อธิบายคำว่า  license ( ค่าลิขสิทธิ์) ให้ลูกฟัง
ผมบอกว่า ซื้อไก่ 35 บาท ค่าไก่ 15 บาท ที่เหลือเป็นค่าลิขสิทธ
ไก่แม่ค้าที่ถูกเพราะไม่มีค่าลิขสิทธิ์ ใบตองที่ห่อขนมไทย ไม่มีลิขสิทธิ์
มันเป็นวัสดุธรรมชาติ ย่อยสลายได้ไม่ถึง 3 เดือน   
ขนมต่างชาติ ห่อสวย   แพง เพราะยี่ห้อมันมีลิขสิทธิ
เวลามันหล่นที่พื้น ไม่มีคนเก็บมันจะย่อยสลายภายใน 200 ปี
ผมสอนแบบนี้  ลูกผมเปลี่ยนวัฒนธรรมไปเลย  ผมทำได้และได้ทำแล้ว 

ปล. ใคร่จะขอกรุณาช่วยนำบทความไปเผยแพร่ต่อ จะเป็นพระคุณมากครับ
ยาวไปหน่อย แต่อยากให้อ่าน

ขอบคุณข้อมูลจากัลยาณมิตรชาวอีเมล์

ในหลวงกับพุทธภูมิ

25 ส.ค.
จากการที่ได้หาโอกาสศึกษาและมีวาสนาได้กราบไหว้ใกล้ชิด พระอัจฉริยเถราจารย์
ผู้ทรงคุณธรรมเบื้องสูงจำนวนมาก  ตลอดระยะเวลาอันยาวนานกว่า 2 ทศวรรษ ทำให้ได้รับการบอกกล่าวถึง
เรื่องอันพิเศษๆเป็นอันมาก ที่นอกเหนือจากสามัญมนุษย์ทั่วไป ซึ่งไร้ซึ่งญาณปรีชาจะพึงทราบชัด ให้ถูกถ้วน
ตามความเป็นจริงได้เป็นอันเอนกปริยาย ดังที่ได้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะ และความรู้รอบตัวต่างๆเป็น
ธรรมวิทยาทานมาโดยลำดับ ความย่อมเป็นที่แจ้งใจอยู่โดยทั่วไปแล้วนั้น

บัดนี้ เป็นกาลอันสมควรแล้ว ที่จะได้นำเอาเรื่องราวที่บรรดาพระอริยคณาจารย์ทั้งหลาย ที่ได้เคยกล่าวถึง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาแสดง เพื่อน้อมถวายความจงรักภักดีแด่พระมหาธรรมราชา ผู้ทรงพระคุณ
อันประเสริฐแห่งประชาชาติไทยพระองค์นั้น และเพื่อยังความเป็นสวัสดิมงคลอันยิ่ง ให้บังเกิดขึ้นแก่แผ่นดิน
และมหาชนทั้งหลายสืบไปตราบชั่วจิรัฏฐิติกาล…

"ในหลวงพระองค์นี้ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์น๊ะ..!!!!"
พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต(ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ)วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร

สำหรับปฐมเหตุที่ทำให้ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯกล่าวความเช่นนี้ ก็เกิดมาจากการที่ท่านได้กล่าวเตือนญาติโยมบางราย
ที่ไปนมัสการว่า

"การที่คุณเอาธนบัตรที่มีรูปในหลวงไปใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงนั้น ไม่ดีเลย เพราะในหลวงท่านเป็น
พระโพธิสัตว์ การเอาพระรูปของท่านไปไว้ในที่ต่ำอย่างนั้น ย่อมบังเกิดโทษเป็นอันมาก ทีหลังอย่าพากันทำ..!!?!"

"พระองค์มัวแต่เป็นห่วงคนอื่น แต่ไม่ทรงห่วงพระองค์เองบ้างเลย.."
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่

ครั้งหนึ่ง มีผู้พูดถึง"ผู้ยิ่งใหญ่"ระดับประเทศบางท่านให้หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม กาญจนบุรี
พระมหาโพธิสัตว์ใหญ่ที่หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมากล่าวรับรองไว้ด้วยองค์เองว่า
"เป็นหนึ่งในสิบแห่งอนาคตพุทธวงศ์เบื้องหน้า"ฟัง สังเกตว่า ดูหลวงพ่ออุตตมะท่าน"เฉย"มากๆ
ก่อนที่จะปรารภออกมาอย่างราบเรียบที่สุด เหมือนมิได้ไยดีใดๆว่า

"เขาไม่ได้ทำประโยชน์อะไรมากเหมือนกับในหลวงหรอก..!!!!!"

ในหลวงสนทนาเรื่อง"พุทธภูมิ" กับ หลวงตามหาบัว

"…เหตุการณ์ที่น่าทึ่งที่สุดคือ เมื่อปี พ.ศ.2531 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จไปนิมนต์หลวงตาไปใน
งานในวัง ปกติหลวงตาท่านไม่ค่อยไปไหน แต่ตอนที่พระเจ้าอยู่หัวฯ ไปนิมนต์ ท่านไปนิมนต์ด้วยพระองค์เอง
เรายังจำได้..

วันนั้นเป็นวันที่ 7 มกราคม 2531 เป็นปีเฉลิมราชรัชมั งคลาภิเษกที่ทรงครองราชย์มากกว่ากษัตริย์ใด
ในประวัติศาสตร์ไทย ท่านนิมนต์หลวงตาเข้าวัง มาเป็นขบวนใหญ่ หลวงตาท่านจะอยู่ที่กุฏิ ท่านให้เราควบคุม
ดูแลญาติโยม ดูแลพวกทหารที่มา พระเจ้าอยู่หัวฯ จะเสด็จมาตอน 6 โมงเย็น

เมื่อขบวนพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จมาถึง เรายืนตรงนี้ ผู้ว่าฯ สายสิทธิ์ยืนตรงนี้ หมออวย แล้วใครต่อใครยืนเป็นแถว
รอรับเสด็จ แล้วท่านก็ขึ้นไปข้างบนซึ่งหลวงตารอท่านอยู่แล้ว ส่วนเราก็อยู่ตรงบันได ส่วนหลวงตาอยู่ข้างบน
ที่ขึ้นไปก็มีพระบรมวงศานุวงศ์ตามเสด็จครบหมดเลย พระราชินี พระบรมฯ พระเทพฯ เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ
หมดทั้งครอบครัวเพื่อจะนิมนต์หลวงตาไปงานพิธีในวัง

พอพระองค์ท่านกราบหลวงตาเสร็จ ท่านก็ถวายคำถามแรก ( พระเจ้าอยู่หัวเรียกหลวงตาว่า "หลวงปู่" )
"หลวงปู่… สาวกภูมิกับพุทธภูมิต่างกันอย่างไร"

โอ้… พระเจ้าอยู่หัวถามปัญหาหลวงตาขนาดนี้

หลวงตาตอบว่า…
"พุทธภูมิ ก็เหมือน ดั่งเรานั่งรถไฟ นั่งรถไฟไปเชียงใหม่หรือนั่งรถไฟไ ปอุดร
นั่นแหละพุทธภูมิ แต่ถ้าเรานั่งจักรยานมาหรือนั่งมอเตอร์ไซค์ ขี่มอเตอร์ไซค์ไป
นั่นแหละ…สาวกภูมิ เพราะฉะนั้นการเป็นพุทธภูมิก็คือการ นำคนไปได้เยอะ ๆ
ส่วนสาวกภูมินั้นนำไปได้น้อยๆ ไม่ได้มากนัก อย่างเก่งก็ 1 คน หรือ 3-4 คน
ก็ว่ากันไป นั่นคือสาวกภูมิ เข้าใจไหมล่ะพ่อหลวง"

พระเจ้าอยู่หัวฯ ตอบหลวงตาว่า
"เข้าใจแล้วหลวงปู่ แล้วนิพพานเป็นอย่างไรนะ หลวงปู่"

หลวงตาตอบ : "อ้อ พ่อหลวงเหมือนพ่อหลวงมาวัดป่าบ้านตาดนี่แหละ
รู้ไหมว่าวัดป่าบ้านตาดอยู่ตรงไหน อยุ่บนกุฏินี่เหรอ วัดป่าบ้านตาดอยู่ไหนล่ะ
แต่พอพระมหากษัตริย์มาถึงนี่แล้ว บริเวณนี้ทั้งหมดคือวัดป่าบ้านตาดนี้แหละ
แต่จะชี้ลงไปว่าที่กุฏิอาตมาก็ไม่ใช่ ที่กุฏิพระก็ไม่ใช่ ที่ศาลาก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ทั้งหมด
แต่เมื่อรวมกันทั้งหมดในกำแพงวัดนี้นี่แหละคือวัดป่าบ้านตาด นี่แหละ
พระนิพพานก็มีความหมายแบบเดียวกัน"

และเมื่อพระเจ้าอยู่หัวฯ ขอบารมีหลวงตาช่วยต่ออายุให้แม่หลวง (คือสมเด็จย่า)
ตอนนั้น สมเด็จย่าทรงประชวรอยู่ หลวงตาท่านก็ตอบปฏิเสธเลยว่า…

"พ่อหลวงนั่นแหละก็จัดการเองได้ ขอเองได้" ท่านว่างั้นนะ…
"พ่อหลวงก็สามารถจัดการได้เอง" ท่านบอกไปเลยนะว่า…
ให้พระเจ้าอยู่หัวขอเอง จัดการเอง จัดการเองอาตมาต่อให้ไม่ได้หรอก

พระเจ้าอยู่หัวฯ ได้กราบลาว่า
"เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว จะกลับแล้ว ท่านหลวงปู่มีอะไรจะบอกไหม"

หลวงตาท่านได้เทศน์สั้น ๆ ว่า

"การเป็นพุทธภูมิ สร้างบารมีเพื่อความเป็นพุทธะ พอจบพุทธภูมิได้ก็เป็น
พระพุทธเจ้า แล้ว พระพุทธเจ้าก็มีพุทธกิจ 5 คือ ตอนเช้าบิณฑบาต
ตอนบ่ายสอนคหบดีมนุษย์ทั่วไป ตกเย็นสอนนักบวช สมณะชีพราหมณ์
ตอนกลางคืนแก้ปัญหาเทวดา พอมาตอนเช้ามืดเล็งญาณดูสัตว์โลก
สัตว์โลกตัวไหนมีกิเลสเบาบางพอที่จะบรรลุธรรมได้ ท่านก็จะเล็งญาณดู
รีบไปโปรดก่อน พระพุทธเจ้าสร้างบารมีพุทธภูมิจนได้เป็นพระพุทธเจ้า
เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็มีพระพุทธกิจ 5 อย่ างนี้ แต่… ไม่รู้ว่า
พ่อหลวงแม่หลวงของประเทศไทยปรารถนาอะไร ทำงานกันจนไม่มีเวลา
จะพักผ่อน..เอาล่ะ ๆ … อาตมาจะให้พร"


พอฟังมาถึงตรงนี้นะ เรายังจำได้แม่น เพราะพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านถามเรื่องพุทธภูมิ เสร็จแล้วพอท่านจะลากลับ
หลวงตาท่านสรุปให้เสร็จสรรพเลย… ไม่รู้ว่าพ่อหลวงแม่หลวงของไทยทำงานปรารถนาความเป็นอะไร…
ทำงานกันจนไม่มีเวลาพักผ่อน… เอาล่ะ ๆ …อาตมาจะให้พร

เมื่อพระเจ้าอยู่หัวท่านเสด็จลงมา ท่านก็ตรัสว่า อยากให้ท่านอาจารย์อยู่กับหลวงตาไปนาน ๆ
…เราก็ได้ตอบท่านว่า เจริญพร…มหาบพิตร อาตมาก็อยากจะอยู่ แต่ถ้าถึงเวลา
ที่อาตมาจะต้องเอา ตัวเองให้รอด อาตมาก็ขอเอาตัวเองให้รอดก่อน เพราะทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล ถึงเวลาไป
ก็ต้องไปเหมือนกัน แล้วพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็บอกขอทำบุญกับหลวงตา 200,000 ถวายอาจารย์ 20,000
แล้วท่านก็ถามว่าพระที่อยู่ในวัดนี้กี่รูป เราก็ตอบท่านท ั้งหมด 29 รูปรวมหลวงตานั่นแหละ… ท่านจึงถวายให้รูปล่ะ
2,000 "แล้วปัจจัยจะให้ไว้กับใคร" ท่านถาม…ท่านหยิบออกมาให้เลยนะ ท่านผู้ว่าฯ ยัง
รับมือสั่น พระเจ้าอยู่หัวไม่เพียงมากราบหลวงตา ท่านมาที่วัดท่านยังมาทำบุญกับพระด้วยปัจจัยที่เตรียมพร้อม
จากพระหัตถ์ของ ท่านเอง จากนั้นพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็เสด็จออกไปเยี่ยมประชาชนแล้วก็ขึ้นรถไป

นั่นแหละเราได้ฟังมา เรื่องของพุทธภูมิ เรื่องของพระโพธิสัตว์ สาวกภูมิกับพุทธภูมิต่างกันอย่างไร เสร็จแล้ว
พอตอนจบขอพร หลวงตาท่านก็สรุปและให้พร จึงบอกได้ว่าเป็นบทสนทนาของจอมปราชญ์…

ที่มานิตยสาร น่านฟ้า ปีที่1 ฉบับที่ 8 ประจำเดือนธันวาคม 2550 หน้า18

 

เมื่อต้นปีพ.ศ. 2498 คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมได้ปรารภกับศิษยานุศิษย์ของท่านว่า
"มีใครเป็นห่วงพระเจ้าแผ่นดินองค์น้อย(ในหลวง)บ้าง..??"

เมื่อทุกคนกล่าวรับว่าเป็นห่วง เนื่องจากมีข่าวที่น่าเป็นกังวลมาให้ได้ยินอยู่ คุณแม่บุญเรือนก็ว่าต่อไปอีกหน่อยว่า
"ถ้าเป็นห่วง ก็ขอให้แม่อธิษฐานช่วยพระองค์ท่านซิ"
(ตามอริยประเพณี พระอริยะจะทำการสิ่งใดโดยปราศจากเหตุหรือไม่มีผู้อาราธนามิได้)

เมื่อศิษย์ทุกคนกล่าวคำขอให้คุณแม่ใช้อิทธิฤทธิ์ช่วยในหลวงให้ทรงพระเจริญและแคล้วคลาดจากสรรพภยันตราย
ทั้งปวงแล้ว คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมจึงได้กำหนดที่จะไปเข้า"นิโรธสมาบัติ" คุ้มครองถวายพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว ที่บ้านนาซา(เป็นเคล็ดให้เรื่องร้าย"สร่างซา"ลงไป) ของนางสาววาย(เป็นเคล็ดให้เรื่องราวที่ไม่ดี
มีอันต้อง"วาย"หายสูญ ไป) วิทยานุกรณ ์ (น้องสาวพระมหารัชชมังคลาจารย์ วัดสัมพันธวงศ์) ที่ปากน้ำประแสร์
จ.ระยองเป็นเวลาถึง 1 ปีเต็ม โดยช่วงนั้น คุณแม่บุญเรือนได้สั่งห้ามมิให้ศิษย์คนใดเข้ามารบกวนท่านในช่วงเวลานั้น
เป็นอันเด็ดขาด..!!!!

ที่มา,หนังสืออนุสรณ์ อดีตเจ้าอาวาส วัดสารนาถธรรมาราม ระยอง พ.ศ. 2551

"มีแต่คนที่ไม่ฉลาดเท่านั้น ที่จะไม่รู้ว่า ในหลวงพระองค์นี้ดีอย่างไร.???"
(พระอาจารย์วัน อุตตโม วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม สกลนคร)

เมื่อหลายสิบปีก่อน ครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ถูกลอบปลงพระชนม์ ถึงเสด็จ
สวรรคต หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก พระนครศรีอยุธยา เคยเล่าว่าท่านเกิดความสลดสังเวชมาก ว่าคนไทย
หลายคน ยังขาดกตัญญูกตเวทิตาคุณต่อพระเจ้าอยู่หัว ท่านคิดอยู่เสมอว่า จะให้คนไทยมีความรักชาติ ศาสนา
และพระมหากษัตริย์ได้อย่างไร..???

หลวงปู่ดู่รักในหลวงมาก

ในสมัยที่หลวงปู่มีชีวิต ท่านจะกำชับให้ลูกศิษย์ของท่านเอาบุญจากการภาวนา รวมเข้ากับบุญของพระพุทธเจ้า
และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ถวายให้ในหลวง รวมทั้งแผ่เมตตาให้เทพเทวาผู้ปกรักษาพระองค์ท่านให้มีความสุข
แล้วก็กรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวรของพระองค์ท่านให้ไปเกิดในสุคติภูมิ หลวงปู่กล่าวว่า หากไม่มีในหลวง พระพุทธศานา
ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ หลายครั้ง ที่ลูกศิษย์จะรับทราบได้ว่าหลวงปู่จะเข้าที่เพื่ออธิษฐานช่วยในหลวงในยามที่พระองค์ทรง
พระประชวร)

นอกจากนี้ ท่านยังกำชับให้แผ่เมตตาให้ประเทศชาติ ดังเช่นการอธิษฐานช่วยประเทศชาติของหลวงปู่เกษม เขมโก
สุสานไต รลักษณ์ ด้วยเช่นกัน(หลวงปู่เกษมจะมีคาถากำกับด้วยว่า รัฐะ ปาลา สมัคคา สทา โหนตุ)

สรุปก็คือ นักปฏิบัติต้องไม่ลืมประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

เพราะสามสถาบันนี้เกื้อกูลให้เราได้รับความร่มเย็นเป็นสุข ได้รับความสัปปายะแก่การปฏิบัติธรรมสืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน

สำหรับองค์ของหลวงปู่ดู่เองนั้น ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งทุกวันนี้ แม้กาลเวลาล่วงเลยไป หลายสิบปี กิจวัตรอันหนึ่งที่
ท่านทำอยู่มิได้ขาด คือ การสวดมนต์ถวายพระพรแด่ในหลวงทุกวันตลอดมา ขอให้พระองค์มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน
เป็นมิ่งขวัญคนไทยตลอดไป

หลวงพ่อยังได้กล่าวไว้อีกว่า เพราะพระเจ้าแผ่นดิน(ร.9) ท่านปฏิบัติ(ธรรม) ต่อไปพุทธศานา
ในเมืองไทยจะเจริญขึ้น เพราะท่านเป็นผู้นำเป็นแบบอย่าง

สมัยหนึ่งเมื่อหลวงปู่ดู่ ยังทรงสังขารอยู่นั้นบ่ายของวันที่แดดร่มลมตก จู่ ๆ ท่านก็เปรยกับคณะศิษย์ที่ประกอบ
ด้วย "คนตาดี" หลายคนว่า
"พวกแกลองดูทีซิว่า มีพระรูปไหนอยู่กับในหลวงบ้าง"

เข้าใจว่าท่านคงหมายถึง กายทิพย์หรือบารมีที่พระมหาเถระแต่ละองค์อธิษฐานพิทักษ์รักษาในหลวง
ศิษย์ท่านหนึ่งก็ "เข้าที่" ตามหลวงปู่สั่ง พักหนึ่งก็ลืมตาแล้วตอบว่า

"หลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ ลำปางครับ"
หลวงปู่ยิ้มแล้วว่า "นั่นองค์หนึ่งละ มีใครอีก"
ศิษย์แสนซนคนหนึ่งตอบทันที "หลวงพ่อนั่นแหละครับ"

ท่านมองหน้าแล้วถาม "ทำไมแกจึงว่าอย่างนั้น"
ศิษย์อธิบายว่า
"อ้าว ก็หลวงพ่อรู้ได้ว่ามีองค์นั้น องค์นี้อยู่กับในหลวง แสดงว่าหลวงพ่อก็ต้องไปมาด้วยน่ะสิ
ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้ยังไง"

เมื่อเข้าเนื้อท่านโบกมือให้ยุติเรื่องทันที ศิษย์ก็ถึงที่ยิ้มไป…

                     

 

เราอย่าเห็นสิ่งปลีกย่อยดีกว่าส่วนรวมส่วนใหญ่นะ ส่วนใหญ่นั่นละเป็นของสำคัญ พ่อกับแม่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อะไรที่เป็นหลักของชาติ เป็นหัวใจของชาติให้พากันรักกันสงวน อย่าพากันทำลาย
ลูกเต้าจะอวดดีกว่าพ่อกว่าแม่มันไม่ดีละ

     
      คิดดูในพุทธศาสนาพระเจ้าอาชาตศัตรูทำลายพระราชบิดา ก็ไม่เห็นเจริญอะไร ท่านว่า เย เกจิ พุทธํ ธมฺมํ
สงฺฆํ สรณํ คตา เส น เต คมิสฺสนฺ อบายภูมึ พวกสัตว์ทั้งหลายถ้านึกลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์

มีความเทิดทูนในสิ่งที่ดีงามที่มีคุณมีประโยชน์ทั้งหลายแล้วผู้นั้นเจริญ ผู้ใดไปทำลายหลักใหญ่แล้วจะเอาให้ส่วน
เล็กๆนี้ขึ้นครองบ้านครองเมืองมันก็ไม่ดี ให้พากันรักษาหลักใหญ่เอาไว้
     
      พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคือหัวใจของชาติไทยเรา นี่ให้พากันจำเอาไว้นะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนี้คือหัวใจของชาติไทยเรา ให้พากันเทิดทูน อย่าพากันดูถูกเหยียดหยามทำลาย
เช่นอย่างจะทำลายจะไม่ให้มีพระเจ้าอยู่หัว มันคนเกิดมาแล้วพ่อแม ่ตายหมด มีแต่ลูกกำพร้าหยิมแหยมๆ มันใช้
ไม่ได้นะ สกุลใดที่มีคนคับแคบอยู่ในบ้านนั้นเมืองนั้นแล้วสกุลนั้นไม่เจริญ สกุลใดที่มีความกว้างขวาง มีจิตใจอัน
กว้างขวาง พิจารณารอบคอบเพื่อทำประโยชน์แก่ส่วนรวมผู้นั้นเป็นผู้ดี

 นี่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ของพวกเราคือหัวใจของคนไทยทั้งชาติ ให้พากันทะนุถนอมนะ อย่าพากันไป
ทำลาย จะมีแต่ลูกหยอมแหยมๆ พ่อแม่ผู้ให้ความร่มเย็นไม่มีมันไม่เกิดประโยชน์ อย่างไรต้องรักษาส่วนใหญ่เอาไว้
ในประเทศไทยเราก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว-สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี นี้คือหัวใจของชาติให้พากัน
เคารพเทิดทูน อะไรที่เป็นหลักใหญ่ของชาติของส่วนรวมให้พากันรักษา พากันเทิดทูน อย่าพากันทำลายโดยอวดดี
     
      ดังที่ท่านว่าอึ่งอ่างกับวัวนั่นละ เราก็เห็นในนิทานอีสปแต่ก่อนเรียนหนังสือ อึ่งอ่างตัวเท่ากำปั้นนี่ วัวมันตัวขนาด
ไหน ลูกอยู่ในรู แม่ไปหากิน ลืมแล้วนิทานอีสป มันเป็นอย่างไรละทีนี้ (ลูกเห็นวัว พอแม่กลับมาเล่าให้แม่ฟังว่าเจอ
ตัวอะไรไม่รู้ใหญ่มาก แม่ก็พองตัว ลูกว่าใหญ่กว่านี้อีกค่ะ) ได้ไหมๆ สุดท้ายสิ่งที่ได้คือพุงแตก นี่ระวังนะ ตัวเล็กๆ
อย่าไปพองตัว มันไม่สมควรจะพอง อึ่งอ่างกับวัว วัวมันตัวใหญ่ขนาดไหน อึ่งอ่างตัวเท่ากำปั้น มาพอง มันตัวเท่านี้
ไหมๆ เรื่อย สุดท้ายเลยตาย เข้าใจไหม นี่อึ่งอ่างกับวัวมันไม่ดีอย่างนั้นละ


หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี
                                                               

                     

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา เคยบอกกับผมเมื่อสมัยที่บวชอยู่กับท่านว่า…

"วันหนึ่งข้างหน้า ในหลวงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งของโลก"

หลวงพ่อมองหน้าผมแล้วย้ำว่า…

"ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ"



 

อนุโมทนาขอบคุณข้อมูล

จากกัลยาณมิตรกลุ่มธรรมสวัสดี

ธรรมะสวัสดีคลิกที่นี่

กว่าจะถึงอรหันต์….ตอน..พระเขมาเถรี

16 มิ.ย.

 สาวงาม แปรเปลี่ยน เป็นเฒ่า
เข้าเฝ้า ศาสดา ได้ผล
เบื่อหน่าย คลายกาม กายตน
หลุดพ้น พานพบ นิพพาน

 

  ในอดีตชาติ แต่โบราณกาลนานมา แล้ว พระเขมาเถรี เคยเกิดอยู่ใน
ตระกูลเศรษฐี รุ่งเรืองด้วยทรัพย์สมบัติ และแก้วมณี มีค่ามากมาย
อาศัยอยู่ในกรุงหังสวดี เพียบพร้อมไปด้วยความสุข

มีอยู่คราวหนึ่ง ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ฟังธรรมเทศนาแล้ว เกิดความเลื่อมใส อย่างยิ่ง จึงขอยึดเป็นที่พึ่ง
ในพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น แล้วนิมนต์พระพุทธเจ้า กับพระสาวกทั้งหลาย
เพื่อทำบุญ ถวายทาน และอาหาร อันประณีต ตลอด ๗ วัน เลยทีเดียว

วันหนึ่งนางได้พบเห็น พระปทุมุตตรพุทธเจ้า ทรงตั้งภิกษุณีองค์หนึ่ง
ให้เป็นผู้เลิศ ทางปัญญา ยิ่งกว่าภิกษุณีทั้งปวง จึงบังเกิดจิตยินดี
ปรารถนาได้เป็นเช่นนั้นบ้าง ได้ตั้งจิตอธิษฐาน ไว้ในใจ แล้วหมอบลง
กราบพระพุทธเจ้า

ทันใดนั้นพระพุทธเจ้าตรัสขึ้นว่า "ความปรารถนาเธอจะสำเร็จ สักการะบูชา
ที่เธอทำแล้วแก่เรา พร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์ จะมีผลมาก
เธอจะได้เป็นผู้เลิศยอดด้วยปัญญา เป็นภิกษุณีชื่อ เขมา
ในสมัยของพระพุทธเจ้า
พระนามว่า สมณโคดม"

นับจากชาตินั้นมา เพราะอำนาจผลบุญต่างๆ ที่ได้กระทำไว้ ทำให้นางไปเกิด
ในชาติใดๆ ก็ได้เป็น พระอัครมเหสี ของพระราชา มีทรัพย์มาก มีความสุขสบายมาก

กระทั่งได้เกิดในสมัยของพระพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี มีโอกาสบวชอยู่
ในพระพุทธศาสนา ประพฤติพรหมจรรย์ ด้วยความเพียร เป็นพหูสูต (มีความรู้มาก)
ฉลาดในปัจจยาการ (อาการที่เป็นเหตุ เป็นผลแก่กัน) คล่องแคล่วในอริยสัจ ๔
มีปัญญาละเอียดถี่ถ้วน แสดงธรรมไพเราะ ปฏิบัติตามสัตถุศาสน์ (พระพุทธพจน์)

ด้วยผลแห่งพรหมจรรย์ (ประพฤติ อริยมรรคองค์ ๘)
นั้นนางได้ไปเกิดในชาติใด ก็เป็นผู้มีสมบัติมาก มีปัญญา รูปงาม
มีบริวารเชื่อฟัง ไม่ว่าจะไปในที่ใด ก็ไม่มีใครๆดูหมิ่นเลย

ครั้นมาเกิดในสมัยของพระพุทธเจ้า พระนามว่า โกนาคมนะ นางได้ทำบุญมหาศาล
ในกรุงพาราณสี ด้วยการถวายสังฆาราม แก่พระมุนี (นักบวชที่เข้าถึงธรรม)
หลายพันรูป สร้างพระวิหาร ถวายแก่ พระพุทธเจ้า และหมู่สงฆ์

ต่อมา เมื่อได้มาเกิดในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ นางได้เป็น
พระธิดาคนโตสุด ของพระเจ้ากาสี พระนามว่า กิกี ในกรุงพาราณสี
ที่อุดมสมบูรณ์ ชาตินี้นางได้นามว่า สมณี

วันหนึ่ง มีโอกาสฟังธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วบังเกิดความยินดีพอใจนัก
จึงขอบวช แต่พระราชบิดา ไม่ทรงอนุญาต นางจึงประพฤติพรหมจรรย์
ตั้งแต่เป็นกุมารี (เด็กหญิงวัยรุ่น) ดำรงชีวิตอยู่ อย่างเป็นสุข
คอยบำรุงดูแล แก่พระพุทธเจ้า และภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย

พอมาถึงยุคสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า สมณโคดม นางได้ชื่อว่า เขมา
เพราะพอเกิดมาแล้ว ในราชสกุล แห่งกรุงสากละ แคว้นมัททะ
ทำให้พระเจ้ามัททราช และชาวพระนคร มีแต่ความเกษม สำราญ ถ้วนหน้ากัน

เมื่อเติบโตเจริญวัยเป็นสาว ก็มีรูปสะสวยและผิวพรรณงดงาม
ได้ไปเป็นพระเทวีของ พระเจ้าพิมพิสาร แห่งกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ
ผู้ซึ่งถวายพระราชอุทยานเวฬุวัน เป็นสังฆาราม แก่พระศาสดา

ด้วยเหตุที่ พระนางเขมา มีรูปร่างงาม เป็นที่โปรดปราน ของพระราชสวามี
พระนางจึงยินดีพอใจ ในการบำรุง รูปโฉมให้งาม และไม่พอใจ
ที่จะฟังคนกล่าวถึง รูปที่น่ารังเกียจ หรือโทษภัยต่างๆ ของรูป
พระนางจึงไม่เสด็จไปเฝ้า พระศาสดาเลย เพราะเกรงว่าพระศาสดา จะแสดงโทษ
ของรูปให้ฟัง

พระเจ้าพิมพิสารทรงเล็งเห็นเช่นนั้น จึงมีพระประสงค์
จะช่วยเหลือพระนางเขมา รับสั่งให้ เหล่านักร้อง แต่งเพลงขึ้น
พรรณาถึงความงดงาม ของพระเวฬุวันมหาวิหาร แล้วขับกล่อม ให้พระนางฟัง
กระทั่ง พระนางเขมา เคลิบเคลิ้มว่า "พระมหาวิหารนี้
เป็นที่ประทับของพระศาสดา ช่างน่ารื่นรมย์ งดงามยิ่งนัก เป็นดุจดั่ง
นันทวันอันเป็นสวนสวรรค์ ของพระอินทร์ ที่น่าเพลินชมมิรู้เบื่อ
ผู้ใดหากได้เห็น พระมหาวิหาร ก็เสมือนได้เห็น นันทวัน เฉกเช่นเดียวกัน"

พระนางจึงทูลขอเสด็จไปชมพระมหาวิหารนั้น พระเจ้าพิมพิสาร ทรงดีพระทัยนัก รีบตรัสว่า
"เชิญชม พระมหาวิหารเวฬุวันเถิด เป็นที่สวยงาม สงบเย็นตาเย็นใจยิ่ง
เปล่งปลั่งด้วยรัศมี ของพระผู้มี พระภาคเจ้า อันงามด้วยคุณ-ความดีทุกสมัย"

แต่พระนางรีบทูลทันทีว่า
"ในเวลาที่พระศาสดาเสด็จบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ เมื่อนั้นหม่อมฉันจะเข้าไปชม พระมหาวิหาร เพคะ"

แล้วเช้าวันหนึ่ง…เมื่อเหล่าภิกษุบิณฑบาต อยู่ในพระนคร
พระนางเขมาจึงเสด็จชม พระมหาวิหาร มวลดอกไม้ กำลังแย้มบาน
หมู่แมลงผึ้งบินว่อน ตอมดอกไม้ เสียงนกดุเหว่าร่ำร้อง ดังเสียงเพลง
ประสานกับ นกยูงรำแพนหาง ราวกับฟ้อนรำ สงบสงัดจากความพลุกพล่านอื่น
พบเห็นแล้ว รื่นรมย์ เย็นใจด้วยกุฎี (ที่อยู่ของพระ) และ มณฑปต่างๆ

ขณะเพลิดเพลินเที่ยวชมอยู่นั้น พระนางเขมาได้เห็นภิกษุหนึ่ง บำเพ็ญเพียรอยู่ ทรงดำริในใจว่า

"ภิกษุรูปนี้ อยู่ในวัยรุ่นหนุ่ม รูปงาม แต่กลับโกนศีรษะโล้น
ครองสังฆาฏิ นั่งอยู่ที่โคนไม้ ละความยินดี ที่เกิดจาก อารมณ์ทั้งปวง
แล้วเจริญฌาน (สภาวะสงบ อันประณีตยิ่ง) อยู่ มาปฏิบัติในป่า เช่นนี้
ช่างเหมือน กับคนอยู่ในความมืด เพราะธรรมดาแล้ว คฤหัสถ์ควรบริโภคกาม
อย่างมีความสุข พอแก่แล้ว จึงค่อย
ปฏิบัติธรรม ให้เจริญงอกงาม ในภายหลัง"

คิดอย่างโลกีย์แล้ว ก็เสด็จไปชมพระคันธกุฎี
อันเป็นที่ประทับของพระศาสดา ด้วยคาดว่า คงจะว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดอยู่
ในช่วงเวลานั้น แต่กลับปรากฏว่า…. ได้พบเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับสำราญอยู่ พระศาสดา ก็ทรงเห็นพระนางเขมาเทวีเสด็จมา จึงทรงเนรมิต
หญิงงามดังเทพอัปสร (นางฟ้า) ถวายงานพัด แด่พระองค์

ฝ่ายพระนาง จำต้องเข้าเฝ้า แล้วบังเกิดความคิดขึ้นว่า
"
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงองอาจกว่าใครทั้งปวง มิได้มีความเศร้าหมองใดๆเลย
ก็แล้วยังมีสาวงาม ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ดังทองคำ รูปร่าง สวยงดงาม
ดูแล้วเป็นที่น่ายินดีพอใจนัก ยิ่งมองยิ่งชม ยิ่งไม่เบื่อตาเลย
โอ…หญิงสาวนางนี้ ช่างรูปงามเหลือเกิน เราไม่เคยเห็นใครงาม
เช่นนี้มาก่อนเลย

แต่…ขณะนั้นเอง สาวงามนั้นพลันมีสภาพเปลี่ยนไป กลายเป็นหญิงชรา
ผิวพรรณเหี่ยว ย่นทั้งตัว ผมก็หงอกฟันก็หัก น้ำลายไหลยืด ตาขาวฝ้าฟาง
หูตึง นมหย่อนยาน หลังงอกายซูบผอม ตัวสั่นงันงก แม้มีไม้เท้า ก็พยุงไม่ไหว
ล้มลงกองอยู่ที่พื้นดิน แล้วหอบหายใจถี่ ประหนึ่งจะขาดใจตาย"

ความสังเวชใจที่ไม่เคยปรากฏแก่ พระนางเลยนั้น บัดนี้บังเกิดขึ้นแล้ว
ทำให้พระนาง ขนลุกชูชัน เห็นในโทษ ของรูปกาย ที่พวกคนพาล (โง่เขลา)
หลงยินดีกันอยู่

พระศาสดาทรงทราบวาระจิตของพระนางแล้ว จึงได้ตรัสด้วยพระกรุณาว่า
"ดูก่อนพระนางเขมา เชิญดูร่างกายอันกระสับกระส่าย ไม่สะอาด โสโครก มีของเหลว ไหลเข้า-ถ่ายออก ที่บรรดาคนพาลยินดีนัก

จงอบรมจิตให้เป็นสมาธิ (จิตตั้งมั่น) มีอารมณ์เดียว โดยอาศัยอสุภารมณ์ (อารมณ์ที่เห็น เป็นสภาพ น่ารังเกียจ) เถิด

  • จงมีกายคตาสติ (สติในการพิจารณากาย เพื่อลดละกิเลส)
  • รูปกายหญิงนี้ เป็นฉันใด รูปกายของเธอ ก็เป็นฉันนั้น
  • รูปกายของเธอเป็นฉันใด รูปกายของหญิงนี้ก็เป็นฉันนั้น
  • จงคลายความพอใจกายนี้ ทั้งภายในและภายนอกเสียเถิด
  • จงอบรมอนิมิตตวิโมกข์ (ความหลุดพ้นที่เกิดจากปัญญา พิจารณาเห็นนามรูป โดยความ เป็นอนิจจัง)
  • จงละมานานุสัย (ความถือตัว ที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน)เสีย แล้วเธอจะเป็นผู้สงบได้

เพราะคนใด ถูกความกำหนัดด้วยราคะ เกาะติดอยู่ ย่อมเป็นเสมือนแมงมุม
เกาะติดใยที่ทำไว้เอง แต่ถ้า หากคนใด ตัดราคะให้ขาดเสีย ไม่มีความอาลัย
ละกามสุขไป ย่อมหลุดพ้นได้"

พระศาสดาตรัสจบตรงนี้แล้ว ทรงรู้ว่า พระนางเขมาเทวี มีจิตควรแล้ว
จึงทรงแสดง มหานิทานสูตร ว่าด้วยเรื่องของ ความเวียนตายวนเกิด
เพราะวิญญาณและนามรูป เป็นปัจจัย ของกันและกัน กระทั่งตรัสถึง ความหลุดพ้น
ด้วยสมาธิ และปัญญา

พระนางเขมาได้ฟังสูตรอันประเสริฐนี้แล้ว ระลึกถึงสัญญา (ความทรงจำ)
แต่เก่าก่อน ได้บังเกิด ดวงตาเห็นธรรม ทันที ดังนั้น
จึงหมอบลงที่แทบพระบาท ของพระศาสดา แสดงโทษของตนว่า

"ข้าแต่พระองค์ ผู้ทรงเห็นแจ้งในธรรมทั้งปวง
ผู้มีพระมหากรุณาเป็นที่ตั้ง ผู้เสด็จข้ามสงสารแล้ว ผู้ประทานอมตธรรม
หม่อมฉันขอถวาย นมัสการแด่พระองค์

หม่อมฉันเกิดจิตแล่นไป สู่ทิฐิอันรกชัฏ หลงใหลไป เพราะกามราคะ
แต่พระองค์ทรงช่วยแนะนำ ด้วยอุบาย อันประเสริฐ หม่อมฉันขอ แสดงโทษ
ที่มัวเมายินดี อยู่ในรูปกาย แล้วระแวงว่า พระองค์ไม่ทรงเกื้อกูล
คนทั้งหลาย ที่ติดอยู่ในรูป จึงมิได้มาเข้าเฝ้าพระองค์ ผู้ทรงเกื้อกูลมาก
ผู้ทรงประทานธรรม อันประเสริฐ หม่อมฉัน ขอแสดงโทษนั้น"

"สาธุ! พระนางเขมา จงลุกขึ้นมาเถิด"

พระนางก็กระทำตามนั้น แล้วประณมมือนมัสการด้วยเศียรเกล้า
กระทำประทักษิณ (แสดงความเคารพ ด้วยการเดินเวียนขวา ตามเข็มนาฬิกา)
พระองค์แล้ว ก็เสด็จกลับไปเฝ้า พระเจ้าพิมพิสาร กราบทูลว่า
"ข้าแต่
พระองค์ ผู้ทรงชนะข้าศึก น่าชมอุบาย อันเป็นกุศลยอดเยี่ยมนั้น
ที่พระองค์ทรงดำริแล้ว ให้หม่อมฉัน ปรารถนาไปชม พระมหาวิหารเวฬุวัน
ได้เข้าเฝ้าพระศาสดา บัดนี้ถ้าพระองค์ จะทรงพระกรุณา โปรดให้หม่อมฉัน
ผู้เบื่อหน่ายในรูป ตามที่พระพุทธองค์ ตรัสสอนแล้ว
ขอบวชอยู่ในพุทธศาสนานี้ เพคะ"

"ดูก่อนพระน้องนาง พี่อนุญาต บรรพชาจงสำเร็จแก่เธอเถิด"

เมื่อภิกษุณีเขมาบวชแล้ว ๗ เดือน ขณะบำเพ็ญเพียรอยู่นั้น
วันหนึ่งเพ่งมองดูโคมไฟ ที่เดี๋ยวก็จุดสว่างไสว เดี๋ยวก็ดับวูบไป
จึงบังเกิดจิตสังเวช พิจารณาเบื่อหน่าย ในสังขารทั้งปวง
เข้าใจในปัจจยาการนั้น ข้ามพ้นโอฆะ ๔ (กิเลสที่ท่วมทับใจ หมู่สัตว์โลก คือ
๑. กาม ๒. ภพ ๓. ทิฎฐิ ๔. อวิชชา) ได้แล้ว บรรลุธรรม
เข้าสู่สภาพ อรหัตตผล ในทันทีนั้น

พระเขมาเถรีเป็นผู้มีความชำนาญในอภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทา ๔
ฉลาดในวิสุทธิทั้งหลาย (ความบริสุทธิ์ หมดจด ในศีล – ในจิต – ในทิฏฐิ)
คล่องแคล่วในกถาวัตถุ (ถ้อยคำที่ควรพูด) รู้จักนัย (ข้อสำคัญ) แห่งอภิธรรม
(ธรรมที่ก่อประโยชน์สูงสุด ที่ว่าด้วยจิต – เจตสิก – รูป – นิพพาน)

แล้ววันหนึ่ง…ขณะที่พระเขมาเถรีนั่งพักอยู่ บริเวณโคนไม้แห่งหนึ่ง มารผู้มีบาป (กามสัญญา) เข้ามา ดลจิตว่า

"แม่นางเขมาเอย เจ้าก็ยังเป็นสาวสะคราญ มีรูปโฉมงดงาม
แม้หนุ่มๆวัยรุ่นทั้งหลาย ก็หมายร่วมอภิรมย์ด้วย จงไปเถิด ไปร่วมรื่นรมย์
เคล้าเสียงดนตรี ทั้งหลายกันเถิด"

 

พระเขมาเถรีมิได้หวั่นไหวแต่อย่างใดเลย ตอบโต้ด้วยอาการสงบเย็นว่า
"
มาร…เราอึดอัดระอาในกายอันเปื่อยเน่า กระสับกระส่าย มีความแตกดับไป
เป็นธรรมดานี้ เราถอน กามตัณหา ได้หมดแล้ว กามทั้งหลาย อุปมาดั่งหอก
และหลาว ทิ่มแทงขันธ์ทั้งหลาย เอาไว้นั้น บัดนี้ ความยินดี ในกามทั้งสิ้น
ไม่มีแก่เราแล้ว เรากำจัด ความเพลิดเพลิน ในสิ่งทั้งปวงแล้ว ทำลายกอง
แห่งความมืดแล้ว

ดูก่อนมารใจบาป เจ้าจงรู้ไว้อย่างนี้ เรากำจัดเจ้าแล้ว
เรามิใช่พวกคนพาล ที่ไม่รู้ความเป็นจริง พากัน กราบไหว้ ดวงดาว บูชาไฟอยู่
แล้วสำคัญว่า เป็นความบริสุทธิ์ แต่เรากราบไหว้บูชา ทำตามคำสั่งสอน
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจึงพ้น จากทุกข์ทั้งปวง เผากิเลสทั้งหลายสิ้น
กิจในพระพุทธศาสนา เราได้กระทำเสร็จแล้ว"

มารมิอาจทำได้ดังปรารถนา จึงหายวับไปในทันใด

ต่อมา…พระเขมาเถรีเที่ยวจาริกไปในแคว้นโกศล
แวะพักอยู่ที่โตรนวัตถุ(ค่าย) แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ระหว่าง กรุงสาวัตถี
กับเมืองสาเกต

ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปหาพระเขมาเถรีถึงที่พัก เพราะได้ยินชื่อเสียง อันฟุ้งขจรไป ของพระเถรีรูปนี้ว่า
"พระเขมาเถรีเป็นบัณฑิต เฉียบแหลม มีปัญญามาก เป็นพหูสูต มีถ้อยคำไพเราะ มีปฏิภาณดี"

พระองค์ได้ตรัสถามปัญหาว่า
"ข้าแต่แม่เจ้า เมื่อสัตวโลกตายแล้ว
เบื้องหน้าย่อมเกิดอีก หรือไม่เกิดอีก หรือเกิดอีกก็มี และไม่เกิดอีกก็มี
หรือ เกิดอีกก็มิใช่ และ ไม่เกิดอีกก็มิใช่"

"ขอถวายพระพร ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์"

"ข้าแต่แม่เจ้า ก็แล้วอะไรเล่า เป็นเหตุสำคัญให้พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ทรงพยากรณ์ปัญหาเหล่านี้"

"ขอถวายพระพร อาตมภาพขอถาม มหาบพิตรบ้าง มหาบพิตร มีนักคำนวณ
นักประเมิน หรือ นักประมาณ ก็ตาม จะสามารถ คำนวณทราย ในแม่น้ำคงคาไหมว่า
ทรายมีประมาณเท่านี้ ร้อยเม็ด…พันเม็ด… หมื่นเม็ด… แสนเม็ด.."

"ไม่มีนักคำนวณเช่นนั้นได้เลย แม่เจ้า"

"แล้วมหาบพิตร จะมีนักคำนวณ ซึ่งสามารถคำนวณน้ำในมหาสมุทรว่า
น้ำมีอยู่เท่านี้ อาฬหกะ (มาตราตวง ชนิดหนึ่ง) ร้อย… พัน… หมื่น…
แสนอาฬหกะ….."

"ไม่มีเลย แม่เจ้า"

"นั่นเพราะเหตุไรเล่า มหาบพิตร"

"เพราะมหาสมุทรเป็นของลึก ประมาณไม่ได้ หยั่งถึงได้ยาก"

"ฉันนั้นแล มหาบพิตร การกำหนด ความเกิดของสัตว์โลกนั้น เป็นของลึก
ประมาณไม่ได้ หยั่งถึงได้ยาก ดุจมหาสมุทรฉันนั้น"

"พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพอพระทัย ในคำตอบยิ่งนัก อนุโมทนาภาษิตนั้น
แล้วเสด็จลุกจากอาสนะ ไหว้พระเถรี ทรงกระทำประทักษิณ แล้วเสด็จจากไป

ต่อมา…พระเจ้าปเสนทิโกศลได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วตรัสถามปัญหาเหล่านั้นอีก พระศาสดา ก็ทรงตอบ เช่นเดียวกับ พระเขมาเถรี
ทำให้พระเจ้าปเสนทิโกศล ถึงกับทรงอุทานว่า

"อัศจรรย์จริง ไม่เคยมี พระเจ้าข้า ที่เนื้อความกับเนื้อความ
พยัญชนะกับพยัญชนะ ของพระศาสดา กับพระเขมาเถรี ในการตอบปัญหานี้
เทียบเคียงกันได้ สมกันได้ ไม่ผิดเพี้ยนกัน ในบทที่สำคัญเลย
น่าอัศจรรย์นัก"

พระศาสดาก็ทรงพอพระทัยในปัญญาของพระเถรีนี้ จึงทรงแต่งตั้ง พระเขมาเถรี
ไว้ในตำแหน่ง เอตทัคคะ (ผู้ยอดเยี่ยมพิเศษ ในทางใดทางหนึ่ง)

"พระเขมาเถรี เป็นผู้เลิศด้วยปัญญามาก
เหนือกว่าพวกภิกษุณีสาวิกาของเราทั้งปวง เป็นดังตราชู มาตรฐาน
ของภิกษุณีสาวิกา ของเราทีเดียว"

 

 

(พระไตรปิฎกเล่ม ๑๘ ข้อ ๗๕๒ พระไตรปิฎกเล่ม ๒๐ ข้อ
๑๕๐,๓๗๖ พระไตรปิฎกเล่ม ๒๖ ข้อ ๔๕๓ พระไตรปิฎกเล่ม ๓๓ ข้อ ๑๕๘ อรรถกถาแปล
เล่ม ๕๔ หน้า ๒๑๔)